ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แม่แบบ:สาขาบริหารรัฐกิจ"
แถว 195: | แถว 195: | ||
4. การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน : การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ที่มา http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1240 | 4. การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน : การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ที่มา http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1240 | ||
− | == | + | ==การแปรรูปกิจการภาครัฐ== |
− | + | ||
− | + | 3. การแปรรูปกิจการภาครัฐ | |
− | + | ||
− | + | 3.1 ความหมาย | |
− | + | ||
− | + | รัฐปรับปรุงกิจการรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดบทบาทรัฐและเพิ่มบทบาท เอกชนทั้งการลงทุน บริหารงาน จูงใจ ให้โอกาสและสร้างความเป็นธรรมในการลงทุนกิจการต่างๆ ที่ต้องแปรรูป เพราะจำเป็นต้องระดมทุนของเอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลต้องรับภาระในการลงทุน และบริหารกิจการมากเกินไป กิจการที่รัฐดำเนินการเป็นรัฐวิสาหกิจอาจไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับปัจจุบันเอกชน มีความสามารถในการดำเนินการโครงขนาดใหญ่ได้ดี และมีความคล่องตัวสูงกว่า ภาครัฐบาล สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ และประเด็นที่สำคัญ คือ พันธกรณีหรือคำแนะนำ ให้จัดระบบโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ | |
− | + | ||
− | + | 3.2 ประเภทการแปรรูป | |
− | + | ||
− | + | การแปรรูปกระทำได้หลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง แตกต่างกัน ที่นิยมใช้มี 7 รูปแบบคือ | |
+ | |||
+ | 3.2.1 เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาดำเนินการในกิจการแข่งขันกับรัฐบาล โดยการผ่อนคลายกฎระเบียบ เช่น พิจารณา แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ห้ามเอกชนดำเนินกิจการ (ตัวอย่างเช่นโทรศัพท์ และการสื่อสาร เป็นต้น) | ||
+ | |||
+ | 3.3.2 รัฐร่วมทุนกับเอกชนดำเนินกิจการ โดยการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ มีกำหนด เวลาที่แน่นอน | ||
+ | |||
+ | 3.3.3 ทำสัญญาว่าจ้างเอกชนมาดำเนินงาน โดยการโอนภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ของรัฐวิสาหกิจให้กับเอกชน ภายใต้เงื่อนไขสัญญา ซึ่งรูปแบบของสัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ | ||
+ | |||
+ | ก.สัญญาว่าจ้างเฉพาะกิจกรรม คือ สัญญาตกลงให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินงานเฉพาะกิจกรรม เช่น การทำ ความสะอาด บำรุงรักษาและรักษาความปลอดภัย เป็นต้น | ||
+ | |||
+ | ข.สัญญาว่าจ้างบริหาร โดยให้เอกชนรับผิดชอบบริหารและดำเนินงานของรัฐ หรือองค์ประกอบสำคัญของ ธุรกิจนั้นๆ โดยที่กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของรัฐอยู่ | ||
+ | |||
+ | 3.3.4 ให้สัมปทานในลักษณะ Build - Operate - Transfer (B.O.T.) หมายถึงการทำสัญญาให้บริษัทเอกชนเข้ามา รับผิดชอบ ระดมทุน ออกแบบ ก่อสร้าง และดำเนินโครงการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อหมดระยะสัมปทานกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินและความรับผิดชอบในโครงการนั้นโอนให้แก่รัฐ | ||
+ | |||
+ | 3.3.5 ให้สัมปทานในลักษณะ Build - Transfer - Operate (B.T.O.) หมายถึงการทำสัญญาให้บริษัทเอกชนมา รับผิดชอบ ระดมทุน ออกแบบ ก่อสร้าง แล้วโอนให้แก่รัฐ โดยมีสิทธิดำเนินงานตลอดอายุสัมปทาน | ||
+ | |||
+ | 3.3.6 กระจายหุ้นให้กับเอกชน หมายถึง การโอนความเป็นเจ้าของจากรัฐ ไปให้เอกชน ซึ่งสามารถทำได้โดย | ||
+ | |||
+ | ก.ขายหุ้นให้สาธารณชน รวมถึงการขายโดยตรงให้กับเจ้าพนักงานขององค์กร | ||
+ | |||
+ | ข.ขายหุ้นหรือสินทรัพย์ของกิจการหนึ่ง ให้กับสถาบันการเงินของเอกชน | ||
+ | |||
+ | 3.3.7 ยุบเลิกกิจการ หรือการหยุดดำเนินการอย่างถาวร เนื่องจากกิจการไม่สามารถ ดำเนินต่อไปได้ | ||
+ | |||
+ | ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : | ||
+ | |||
+ | 1. การแปรรูปองค์กรรัฐ ที่มาhttp://www.thaiengineering.com/component/content/article/268.html | ||
+ | |||
====ความหมาย==== | ====ความหมาย==== | ||
====ประเภทการแปรรูป==== | ====ประเภทการแปรรูป==== |
รุ่นปรับปรุงเมื่อ 04:25, 16 สิงหาคม 2559
หมวดโครงสร้าง
เนื้อหา
หน่วยงานของรัฐ
1.1 ส่วนราชการ
1.1.1 ความหมาย
หน่วยงานที่รับผิดชอบให้บริการสาธารณะทางปกครองซึ่งเป็นภารกิจหลักของรัฐ ให้บริการเป็นการทั่วไปและไม่มุ่งกำไร ใช้งบประมาณแผ่นดิน ใช้อำนาจฝ่ายเดียวของรัฐเป็นหลักในการดำเนินกิจกรรม บุคลากรมีสถานะเป็นข้าราชการและรัฐต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการกระทำของหน่วยงาน
1.1.2 ความสัมพันธ์กับรัฐ
• รัฐจัดตั้ง
• รับปกครองบังคับบัญชา
• ใช้งบประมาณแผ่นดิน
• ใช้อำนาจฝ่ายเดียวของรัฐเป็นหลักในการดำเนินกิจกรรม
• รัฐต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการกระทำของหน่วยงาน
1.1.3 การบริหารจัดการองค์กร
รัฐต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการกระทำของหน่วยงาน
1.2 รัฐวิสาหกิจ
1.2.1 ความหมาย
หน่วยงานที่รับผิดชอบบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหารายได้ ต้องสามารถเลี้ยงตัวเองจากการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ แต่หากมีความจำเป็นต้องรับเงินงบ ประมาณสนับสนุนเป็นครั้งคราวหรือบางส่วน ในกรณีนี้รัฐก็ควรจัดสรรงบประมาณให้ในรูปของเงินอุดหนุนซึ่งควรจะแยกจากการ เก็บค่าบริการตามปกติของรัฐวิสาหกิจนั้นๆให้ชัดเจน เป็นนิติบุคคลและมีความสัมพันธ์กับรัฐซึ่งประกอบด้วยรัฐจัดตั้ง ทุนเกินครึ่งเป็นของรัฐ รัฐมีอำนาจบริหารจัดการ (ผ่านการแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงและการให้นโยบาย)การลงทุนต้องขอความเห็นชอบจากรัฐและรายได้ต้องส่งคืนรัฐ บุคลากรมีสถานะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่ระเบียบการปฎิบัติงานต่างๆใช้หลักเดียวกันกับส่วนราชการมีการดำเนินงานลักษณะผสมระหว่างกิจการเอกชนและหน่วยงานของรัฐบาลแบบมหาชนมีเป้าหมายคือ ผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก
1.2.2 ความสัมพันธ์กับรัฐ
• รัฐจัดตั้ง
• ทุนเกินครึ่งเป็นของรัฐ
• รัฐมีอำนาจกำกับดูแลตามที่กฎหมายกำหนด
• การลงทุนต้องขอความเห็นชอบจากรับและรายได้ต้องส่งคืนรัฐ
1.2.3 การบริหารจัดการองค์กร
การดำเนินการไม่ใช้อำนาจฝ่ายเดียวเป็นหลัก แต่ใช้สัญญา ไม่ใช้กฏระเบียบของทางราชการในการบริหารการเงิน การบริหารงานและการบริหารบุคคล ยกเว้นรัฐวิสาหกิจที่ต้องใช้อำนาจพิเศษของรัฐ เช่น เวนคืน ปักเสา พาดสายต้องจัดตั้งโดยมีพระราชบัญญัติรองรับ
1.2.4 การจัดประเภท
การจัดประเภทรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายจัดตั้ง มีการจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ระเบียบหรือข้อบังคับ ประมวลกฏหมายแงและพาณิชย์ และกฎหมายด้วยบริษัทมหาชน จำกัด
• รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติ ทุนทั้งสิ้นเป็นของรัฐ เช่น การรถไฟแห่งประเทสไทย องคืการโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เป็นต้น
• รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฏีกา มีทุนทั้งสิ้นเป็นของรัฐ เช่น องค์การสวนยาง องคืการอุตสาหกรรมป่าไม้
• รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ บริษัทจำกัดที่รับเป็นเจ้าของทั้งสิ้น หรือรัฐบาลถือหุ้นเกินร้อยละ 50
• รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรี อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงที่สังกัด เช่น โรงงานยาสูบ ฉลากกินแบ่งรับบาล
1.3 องค์กรมหาชน
1.3.1 ความหมาย
หน่วยงานที่รับผิดชอบบริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร เป็นนิติบุคคลและมีความสัมพันธ์กับรัฐ รัฐจัดตั้ง ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐหรือสามารถเลี้ยงตัวเองได้ และรัฐมีอำนาจบริหารจัดการ การลงทุนต้องขอความเห็นชอบจากรัฐ บุคลากรมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ วิธีดำเนินการไม่ใช้อำนาจฝ่ายเดียวเป็นหลัก แต่ใช้สัญญา ไม่ใช้กฎระเบียบของทางราชการ
1.3.2 ความสัมพันธ์กับรัฐ
• รัฐจัดตั้ง
• ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐหรือสามารถเลี้ยงตัวเองได้
• รับมีอำนาจกำกับดูแลตามที่กฎหมายกำหนด
• การลงทุนต้องขอความเห็นชอบจากรัฐ
1.3.3 การบริหารจัดการองค์กร
วิธีการดำเนินการไม่ใช้อำนาจฝ่ายเดียวเป็นหลัก แต่ใช้สัญญา ไม่ใช้กฎระเบียบของทางราชการ ยกเว้นกิจกรรมที่ต้องใช้อำนาจฝ่ายเดียวต้องออกพระราชบัญญัติ รวมทั้งในกรณีจัดตั้งมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
1.3.4 การจัดประเภท
การจัดประเภทองคืกรมหาชนตามกฏหมายจัดตั้ง
• องค์กรมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฏีกาซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรมหาชน พ.ศ. 2542 มีจำนวน 29 แห่ง
• องค์กรมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (หน่วยงานในกำกับ) เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณะสุข เป็นต้น
1.4 หน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่
1.4.1 ความหมาย
องค์การของรัฐที่เป็นอิสระ ซึ่งเป็นหน่วยงาน รูปแบบใหม่ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการควบคุม กำกับดูแลกิจกรรมของรัฐตามนโยบายสำคัญที่ ต้องการความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงจากอำนาจทางการเมือง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงาน คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นต้นอีกอย่างหนึ่งคือ กองทุนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจของรัฐ หมายถึง นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยตราเป็นพระราชบัญญัติเนื่องจากต้องการอำนาจรัฐในการบังคับฝ่ายเดียว ต่อภาคเอกชนหรือประชาชนในการสมทบเงินเข้ากองทุน ฯลฯ
1.4.2 ความสัมพันธ์กับรัฐ
• รัฐจัดตั้ง
• ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ
• รัฐมีอำนาจกำกับดูแลตามที่กฎหมายกำหนด
• ต้องการอำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการบังคับฝ่ายเดียวต่อประชาชนหรือกำกับตรวจสอบ
• การบริหารงานไม่ใช่กฎระเบียบของทางราชการ
• รายงานผลต่อคระรัฐมนตรีและรัฐสภา
1.4.3 การบริหารจัดการองค์กร
การบริหารงานไม่ใช่กฎระเบียบของทางราชการ และต้องรายงานผลต่อคระรัฐมนตรีและรัฐสภา
1.4.4 การจัดประเภท
การจัดประเภทของหน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระตามลักษณะภารกิจ
• หน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเป็นหน่วยงานจัดตั้งโดยพระราชบบัญญัติเฉพาะ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
• หน่วยธุรการขององค์กรรัฐที่ทำหน้าที่ให้บริการ เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ เช่น องคืการกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เป็นต้น การจำแนกประเภทของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษตามลักษณะภารกิจของหน่วยงาน
• หน่วยบริการรูปแบบพิเศษที่มีลักษณะภารกิจในการให้บริการด้านพาณิชยกรรมหรืออุตสาหกรรมแก่ส่วนราชการเจ้าสังกัด เช่น สำนักพิมพ์คระรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
• หน่วยบริการรูปแบบพิเศษที่มีลักษณะภารกิจในการให้บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น สถาบันส่งเสริมการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นต้น
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
1. ความหมายและคุณลักษณะสำคัญของหน่วยงานรัฐ กับการจัดทำประมวลจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่มา http://www.ombudsman.go.th/10/documents/Ethical211.pdf
การบริหารราชการแผ่นดิน
ระบบราชการไทยแบ่งองค์กรออกเป็น 3 ส่วน คือ ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค และระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั้ง 3 ส่วน ใช้หลักการรวมอำนาจปกครองและหลักการกระจายอำนาจผสมกัน กล่าวคือ ระหว่างราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคใช้หลักรวมอำนาจปกครอง สำหรับราชการส่วนท้องถิ่นใช้หลักการกระจายอำนาจปกครอง
2.1 ราชการบริหารส่วนกลาง
2.1.1 ความหมาย
หน่วยราชการจัดดำเนินการและบริหารโดยราชการของ ส่วนกลางที่มีอำนาจในการบริหารเพื่อสนองความต้องการของประชาชน จะมีลักษณะการปกครองแบบรวมอำนาจ หรือมีความหมายว่า เป็นการรวมอำนาจในการสั่งการ การกำหนดนโยบายการวางแผน การควบคุมตรวจสอบ และการบริหารราชการสำคัญ ๆ ไว้ที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ตามหลักการรวมอำนาจ
2.1.2 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง
มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่ดิน พ.ศ. 2534 ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางว่า ได้แก่ สำนักรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง ทบวงซึ่งสังกัดสำนักรัฐมนตรีหรือกระทรวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง
2.2 ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
2.2.1 ความหมาย
หน่วยราชการของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ซึ่งได้แบ่งแยกออกไปดำเนินการจัดทำตามเขตการปกครอง โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางราชการส่วนกลาง ซึ่งได้รับแต่งตั้งออกไปประจำตามเขตการปกครองต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาคเพื่อบริหารราชการภายใต้การบังคับบัญชาของราชการส่วนกลางโดยมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดเพราะถือเป็นเพียงการแบ่งอำนาจการปกครองออกมาจากการบริหารส่วนกลางการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นการบริหารราชการตามหลักการแบ่งอำนาจโดยส่วนกลางแบ่งอำนาจในการบริหารราชการให้แก่ภูมิภาค อันได้แก่จังหวัด มีอำนาจในการดำเนินกิจการในท้องที่แทนการบริหารราชการส่วนกลาง ลักษณะการแบ่งอำนาจให้แก่การบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมายถึง การมอบอำนาจในการตัดสินใจ วินิจฉัย สั่งการให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ไปประจำปฏิบัติงานในภูมิภาค เจ้าหน้าที่ในว่าในภูมิภาคให้อำนาจบังคับบัญชาของส่วนกลางโดยเฉพาะในเรื่องการแต่งตั้งถอดถอนและงบประมาณซึ่งเป็นผลให้ส่วนภูมิภาคอยู่ใการควบคุมตรวจสอบจากส่วนกลางและส่วนกลางอาจเรียกอำนาจกลับคืนเมื่อใดก็ได้ดังนั้นในทางวิชาการเห็นว่าการปกครองราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจึงเป็นการปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง
2.2.2 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค
การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคของไทยเป็นไปตามหลักการแบ่งอำนาจปกครอง(décomcentration) กล่าวคือ เป็นการที่ราชการบริหารส่วนกลางมอบอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้แก่ตัวแทนของส่วนราชการที่ถูกส่งไปทำงานยังส่วนภูมิภาคในปัจจุบัน การจัดระเบียบราชการส่วนภูมิภาคของไทยเป็นไปตามผลของกฎหมาย 2 ฉบับ โดยพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กำหนดให้จัดระเบียบราชการส่วนภูมิภาค 2 ระดับ คือ จังหวัดและอำเภอ ส่วนพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช 2457 กำหนดให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคอีก 3 ระดับ คือ กิ่งอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน
2.3 ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
2.3.1 ความหมาย
กิจกรรมบางอย่างซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ท้องถิ่นจัดทำกันเอง เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยเฉพาะโดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งราษฎรในท้องถิ่นเลือกตั้งขึ้นมาเป็นผู้ดำเนินงานโดยตรงและมีอิสระในการบริหารงานอาจกล่าวได้ว่าการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เป็นการบริหารราชการตามหลักการกระจายอำนาจ กล่าวคือ เป็นการมอบอำนาจให้ประชาชนปกครองกันเอง เพื่อให้ประชาชนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และรู้จักการร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เป็นการแบ่งเบาภาระของส่วนกลาง และอาจยังประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนในท้องที่ได้มากกว่า เพราะประชาชนในท้องถิ่นย่อมรู้ปัญหาและความต้องการได้ดีกว่าผู้อื่น
2.3.2 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้วางหลังเกณฑ์สำหรับใช้ในการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยมีสาระสำคัญเป็นการกระจายอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองได้และมีอิสระในการดำเนินงาน ให้ท้องถิ่นเพื่อพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น
หลักสำคัญในการปกครองส่วนท้องถิ่นคือความเป็นอิสระ รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น โดยการให้อิสระดังกล่าวจะต้องไม่กระทบกับ “รูปแบบของประเทศ” ความเป็นอิสระของการปกครองส่วนท้องถิ่นมีได้ในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
(ก) ความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่นของตน ได้แก่ การที่รัฐมอบอำนาจให้แก่องค์กรส่วนท้องถิ่นที่จะมีอิสระในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่นหรือการบริหารท้องถิ่นเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงานและเพื่อจัดทำบริการสาธารณที่ดีและเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น
(ข) ความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเครื่องชี้วัดถึงความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การมีอำนาจบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหมายถึงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจปกครองและบังคับบัญชาพนักงานของตน กล่าวคือ มีอำนาจกำหนดตำแหน่ง สรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่ง จัดการเกี่ยวกับเงื่อนไขในการทำงาน ตลอดจนให้คุณให้โทษพนักงานรวมทั้งให้สิทธิประโยชน์เมื่อพ้นจากงาน(1) ความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคลดังกล่าวมาแล้ว หากเป็นไปได้ดีและมีประสิทธิภาพก็จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างประสบผลสำเร็จ
(ค) ความเป็นอิสระด้านการเงินและการคลัง เนื่องจากภารกิจสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคือการจัดทำบริการสาธารณะ ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องมีเงินมาเพื่อใช้จ่ายและดำเนินการ ซึ่งหากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการจัดหาเงินมาใช้จ่าย ก็จะต้องรอรับการจัดสรรเงินจากส่วนกลางซึ่งจะส่งผลทำให้ความเป็นอิสระด้านการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อส่วนกลางได้จัดสรรเงินมาให้ก็จะต้องเข้าไปควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินซึ่งก็จะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับหนึ่ง ดังนั้น ความเป็นอิสระทางด้านการเงินและการคลังจึงได้แก่การที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณและรายได้เป็นของตนเอง โดยมีอำนาจในการใช้จ่ายเงินเหล่านั้นได้อย่างอิสระพอสมควร ซึ่งจะส่งผลทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินกิจการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
2.3.3 การมีส่วนร่วมของประชาชน
นอกจากการมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ประชาชนยังมีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อีก ๓ กรณีด้วยกันคือ
(ก) การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๕ คือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดเห็นว่าสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้ใดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งโดยรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ต้องมีกฎหมายกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนผู้มีสิทธิเข้าชื่อ หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ การตรวจสอบรายชื่อ และการลงคะแนนเสียงในการถอดถอนบุคลากรดังกล่าว
(ข) การเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๖ คือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานสภาท้องถิ่นเพื่อให้สภาท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ ส่วนจำนวนผู้มีสิทธิเข้าชื่อ หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ รวมทั้งการตรวจสอบรายชื่อนั้นจะต้องมีกฎหมายกำหนดรายละเอียดดังกล่าว
(ค) การมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหลักการใหม่ที่เพิ่งมีการบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๗ แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือ มีการกำหนดให้
(ค.1) ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องจัดให้มีวิธีการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมดังกล่าวได้ด้วย
(ค.2) ในกรณีที่การกระทำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นในสาระสำคัญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องแจ้งข้อมูลรายละเอียดให้ประชาชนทราบก่อนกระทำการเป็นเวลาพอสมควร และในกรณีที่เห็นสมควรหรือได้รับการร้องขอจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นก่อนการกระทำนั้น หรืออาจจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติเพื่อตัดสินใจก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
(ค.3) ในการจัดทำงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่นจะมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายมิได้
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน (ฉบับที่8) พ.ศ. 2553 ที่มา http://regu.tu.ac.th/quesdata/Data/A81.pdf
2. การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน : การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางที่มา http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1234
3. การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน : การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่มา http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1239
4. การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน : การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ที่มา http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1240
การแปรรูปกิจการภาครัฐ
3. การแปรรูปกิจการภาครัฐ
3.1 ความหมาย
รัฐปรับปรุงกิจการรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดบทบาทรัฐและเพิ่มบทบาท เอกชนทั้งการลงทุน บริหารงาน จูงใจ ให้โอกาสและสร้างความเป็นธรรมในการลงทุนกิจการต่างๆ ที่ต้องแปรรูป เพราะจำเป็นต้องระดมทุนของเอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลต้องรับภาระในการลงทุน และบริหารกิจการมากเกินไป กิจการที่รัฐดำเนินการเป็นรัฐวิสาหกิจอาจไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับปัจจุบันเอกชน มีความสามารถในการดำเนินการโครงขนาดใหญ่ได้ดี และมีความคล่องตัวสูงกว่า ภาครัฐบาล สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ และประเด็นที่สำคัญ คือ พันธกรณีหรือคำแนะนำ ให้จัดระบบโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
3.2 ประเภทการแปรรูป
การแปรรูปกระทำได้หลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง แตกต่างกัน ที่นิยมใช้มี 7 รูปแบบคือ
3.2.1 เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาดำเนินการในกิจการแข่งขันกับรัฐบาล โดยการผ่อนคลายกฎระเบียบ เช่น พิจารณา แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ห้ามเอกชนดำเนินกิจการ (ตัวอย่างเช่นโทรศัพท์ และการสื่อสาร เป็นต้น)
3.3.2 รัฐร่วมทุนกับเอกชนดำเนินกิจการ โดยการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ มีกำหนด เวลาที่แน่นอน
3.3.3 ทำสัญญาว่าจ้างเอกชนมาดำเนินงาน โดยการโอนภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ของรัฐวิสาหกิจให้กับเอกชน ภายใต้เงื่อนไขสัญญา ซึ่งรูปแบบของสัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ก.สัญญาว่าจ้างเฉพาะกิจกรรม คือ สัญญาตกลงให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินงานเฉพาะกิจกรรม เช่น การทำ ความสะอาด บำรุงรักษาและรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
ข.สัญญาว่าจ้างบริหาร โดยให้เอกชนรับผิดชอบบริหารและดำเนินงานของรัฐ หรือองค์ประกอบสำคัญของ ธุรกิจนั้นๆ โดยที่กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของรัฐอยู่
3.3.4 ให้สัมปทานในลักษณะ Build - Operate - Transfer (B.O.T.) หมายถึงการทำสัญญาให้บริษัทเอกชนเข้ามา รับผิดชอบ ระดมทุน ออกแบบ ก่อสร้าง และดำเนินโครงการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อหมดระยะสัมปทานกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินและความรับผิดชอบในโครงการนั้นโอนให้แก่รัฐ
3.3.5 ให้สัมปทานในลักษณะ Build - Transfer - Operate (B.T.O.) หมายถึงการทำสัญญาให้บริษัทเอกชนมา รับผิดชอบ ระดมทุน ออกแบบ ก่อสร้าง แล้วโอนให้แก่รัฐ โดยมีสิทธิดำเนินงานตลอดอายุสัมปทาน
3.3.6 กระจายหุ้นให้กับเอกชน หมายถึง การโอนความเป็นเจ้าของจากรัฐ ไปให้เอกชน ซึ่งสามารถทำได้โดย
ก.ขายหุ้นให้สาธารณชน รวมถึงการขายโดยตรงให้กับเจ้าพนักงานขององค์กร
ข.ขายหุ้นหรือสินทรัพย์ของกิจการหนึ่ง ให้กับสถาบันการเงินของเอกชน
3.3.7 ยุบเลิกกิจการ หรือการหยุดดำเนินการอย่างถาวร เนื่องจากกิจการไม่สามารถ ดำเนินต่อไปได้
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
1. การแปรรูปองค์กรรัฐ ที่มาhttp://www.thaiengineering.com/component/content/article/268.html