รุ่นปัจจุบัน |
ข้อความของคุณ |
แถว 482: |
แถว 482: |
| 5) การนำผลที่ได้จากการประเมินไปประกอบการพิจารณาตอบแทนความดีความชอบแก่ผู้ปฏิบัติงาน | | 5) การนำผลที่ได้จากการประเมินไปประกอบการพิจารณาตอบแทนความดีความชอบแก่ผู้ปฏิบัติงาน |
| | | |
− | นอกจากนี้ ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานยังเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ปฏิบัติงาน ในการผลักดันผลการปฏิบัติราชการให้สูงขึ้น และสอดคล้องกับทิศทาง เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของส่วนราชการ โดยมีการนำตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key Performance Indicators - KPIs) มาใช้เป็นเครื่องมือกำหนดเป้าหมายการทำงานของบุคคลร่วมกัน ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถติดตามผลการปฏิบัติงาน หาแนวทางในการพัฒนาผู้ปฏิบัติงาน และประเมินผลการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัดผลงานหลักที่กำหนดนั้นๆ เพื่อจะได้ให้สิ่งจูงใจสำหรับการเสริมสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลการปฏิบัติราชการดี เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ซึ่งระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังแผนภาพ | + | นอกจากนี้ ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานยังเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ปฏิบัติงาน ในการผลักดันผลการปฏิบัติราชการให้สูงขึ้น และสอดคล้องกับทิศทาง เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของส่วนราชการ โดยมีการนำตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key Performance Indicators - KPIs) มาใช้เป็นเครื่องมือกำหนดเป้าหมายการทำงานของบุคคลร่วมกัน ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถติดตามผลการปฏิบัติงาน หาแนวทางในการพัฒนาผู้ปฏิบัติงาน และประเมินผลการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัดผลงานหลักที่กำหนดนั้นๆ เพื่อจะได้ให้สิ่งจูงใจสำหรับการเสริมสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลการปฏิบัติราชการดี เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ซึ่งระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังแผนภาพ |
| กระบวนการบริหารผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้ | | กระบวนการบริหารผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้ |
| | | |
แถว 565: |
แถว 565: |
| ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. ได้ส่งเสริมสนับสนุน และผลักดันให้ส่วนราชการเห็นความสำคัญของการพัฒนาข้าราชการตามกรอบ ยุทธศาสตร์การพัฒนาข้าราชการพลเรือน ที่มุ่งเน้นพัฒนาข้าราชการ โดยยึดหลักสมรรถนt(Competency) และพัฒนาขีดความสามารถ (Capability) เพื่อให้ข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ทรงความรู้ (Knowledge Worker) สามารถปฏิบัติงานภายใต้การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และระบบบริหารจัดการ ภาครัฐแนวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง สามารถพัฒนางานในหน้าที่อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ นักบริหารทุกระดับ มีศักยภาพในการเป็นผู้นำการบริหารราชการยุคใหม่ เพื่อให้ภาคราชการมีขีดความสามารถและมาตรฐานการปฏิบัติงานในระดับสูงเทียบ เท่าเกณฑ์สากล | | ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. ได้ส่งเสริมสนับสนุน และผลักดันให้ส่วนราชการเห็นความสำคัญของการพัฒนาข้าราชการตามกรอบ ยุทธศาสตร์การพัฒนาข้าราชการพลเรือน ที่มุ่งเน้นพัฒนาข้าราชการ โดยยึดหลักสมรรถนt(Competency) และพัฒนาขีดความสามารถ (Capability) เพื่อให้ข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ทรงความรู้ (Knowledge Worker) สามารถปฏิบัติงานภายใต้การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และระบบบริหารจัดการ ภาครัฐแนวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง สามารถพัฒนางานในหน้าที่อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ นักบริหารทุกระดับ มีศักยภาพในการเป็นผู้นำการบริหารราชการยุคใหม่ เพื่อให้ภาคราชการมีขีดความสามารถและมาตรฐานการปฏิบัติงานในระดับสูงเทียบ เท่าเกณฑ์สากล |
| | | |
− | การพัฒนาข้าราชการในปัจจุบันมุ่งเน้นการพัฒนาข้าราชการโดยยึดหลักสมรรถนะ (Competency) และการพัฒนาขีดความสามารถ (Capability) เพื่อให้ข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ทรงความรู้ (Knowledge Worker) สามารถปฏิบัติงานภายใต้หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และระบบบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง สามารถพัฒนางานในหน้าที่อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยการพัฒนาที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง | + | การพัฒนาข้าราชการในปัจจุบันมุ่งเน้นการพัฒนาข้าราชการโดยยึดหลักสมรรถนะ (Competency) และการพัฒนาขีดความสามารถ (Capability) เพื่อให้ข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ทรงความรู้ (Knowledge Worker) สามารถปฏิบัติงานภายใต้หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และระบบบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง สามารถพัฒนางานในหน้าที่อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยการพัฒนาที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง |
| | | |
| สำนักงาน ก.พ. มีบทบาทเป็นผู้เสนอแนะ กำกับดูแล และให้คำปรึกษาแก่ส่วนราชการในการดำเนินงานฝึกอบรม พัฒนา จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาข้าราชการพลเรือนขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรม พัฒนา ที่มีรูปแบบหลากหลาย อาทิ การจัดหลักสูตรในห้องเรียน การจัดหลักสูตรฝึกอบรมทางไกล การฝึกอบรมด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ | | สำนักงาน ก.พ. มีบทบาทเป็นผู้เสนอแนะ กำกับดูแล และให้คำปรึกษาแก่ส่วนราชการในการดำเนินงานฝึกอบรม พัฒนา จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาข้าราชการพลเรือนขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรม พัฒนา ที่มีรูปแบบหลากหลาย อาทิ การจัดหลักสูตรในห้องเรียน การจัดหลักสูตรฝึกอบรมทางไกล การฝึกอบรมด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ |
แถว 607: |
แถว 607: |
| | | |
| ==การบริหารงบประมาณ== | | ==การบริหารงบประมาณ== |
− |
| |
− |
| |
− | 3.1 ความหมาย
| |
− |
| |
− | ความหมายของงบประมาณจะแตกต่างกันออกไปตามกาลเวลาและลักษณะการให้ความหมายของนักวิชาการแต่ละด้านซึ่งมองงบประมาณแต่ละด้านไม่เหมือนกันเช่นนักเศรษฐศาสตร์มองงบประมาณในลักษณะของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดนักบริหารจะมองงงบประมาณในลักษณะของกระบวนการหรือการบริหารงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยบรรลุเป้าหมายของแผนงานที่วางไว้นักการเมืองจะมองงบประมาณในลักษณะของการมุ่งให้รัฐสภาใช้อำนาจควบคุมการปฏิบัติงานของรัฐบาลความหมายดั้งเดิมงบประมาณหรือ Budget ในความหมายภาษาอังกฤษแต่เดิมหมายถึงกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ที่เสนนาบดีคลังใช้บรรจุเอกสารต่างๆที่แสดงถึงความต้องการของประเทศและทรัพยากรที่มีอยู่ในการแถลงต่อรัฐสภาต่อมาความหมายของ Budget ก็ค่อยๆเปลี่ยนจากตัวกระเป๋าเป็นเอกสารต่างๆที่บรรจุในกระเป๋านั้นสรุปความหมายของงบประมาณหมายถึงแผนเบ็ดเสร็จซึ่งแสดงออกในรูปตัวเงินแสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะหนึ่งรวมถึงการกะประมาณการบริหารกิจกรรมโครงการและค่าใช้จ่ายตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุนการดำเนินงานให้บรรลุตามแผนนี้ย่อมประกอบด้วยการทำงาน 3 ขั้นตอนคือ (1) การจัดเตรียม (2) การอนุมัติและ (3) การบริหาร
| |
− |
| |
− | 3.2 ความสำคัญและประโยชน์ของงบประมาณ
| |
− |
| |
− | งบประมาณมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารหน่วยงานสามารถนำเอางบประมาณมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานให้เจริญก้าวหน้าความสำคัญและประโยชน์ของงบประมาณมีดังนี้
| |
− |
| |
− | 1) ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานตามแผนงานและกำลังเงินที่มีอยู่โดยให้มีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหลและการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็นของหน่วยงานลดลง
| |
− |
| |
− | 2) ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงานถ้าหน่วยงานจัดงบประมาณการใช้จ่ายอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะสามารถพัฒนาให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแก่หน่วยงานและสังคมโดยหน่วยงานต้องพยายามใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการที่จำเป็นเป็นโครงการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าของหน่วยงาน
| |
− |
| |
− | 3) เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้มีประสิทธิภาพเนื่องจากทรัพยากรหรืองบประมาณของหน่วยงานมีจำกัดดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรหรือใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพโดยมีการวางแผนในการใช้และจัดสรรเงินงบประมาณไปในแต่ละด้านและมีการวางแผนการปฏิบัติงานในการใช้จ่ายทรัพยากรนั้นๆด้วยเพื่อที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเวลาที่เร็วที่สุดและใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
| |
− |
| |
− | 4) เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากรและเงินงบประมาณที่เป็นธรรมงบประมาณสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรมไปสู่จุดที่มีความจำเป็นและทั่วถึงที่จะทำให้หน่วยงานนั้นสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| |
− |
| |
− | 5) เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์งานและผลงานของหน่วยงานเนื่องจากงบประมาณเป็นที่รวมทั้งหมดของแผนงานและงานที่จะดำเนินการในแต่ละปีพร้อมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นดังนั้นหน่วยงานสามารถใช้งบประมาณหรือเอกสารงบประมาณที่แสดงถึงงานต่างๆที่ทำเพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ
| |
− |
| |
− | 3.3 ประเภทของงบประมาณ
| |
− | งบประมาณที่ประเทศต่างๆใช้กันอยู่ในขณะนี้มีมากมายหลายประเภทแต่ที่สำคัญๆและที่รูจั้กกันโดยทั่วไปมีอยู่ประมาณ 5 – 6 ประเภทด้วยกันซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้และการดำเนินการต่างๆที่แตกต่างกันออกไปและมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไปอีกด้วยแต่ละประเภทจะเหมาะสมกับประเทศใดประเทศหนึ่งนั้นคงจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านด้วยกันไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านบริหารความรู้ความสามารถปัจจัยทางด้านการเมืองกลุ่มผลประโยชน์และปัจจัยอื่นๆเช่นปัจจัยทางด้านสังคมฯลฯดังนั้นแต่ละประเทศจึงใช้งบประมาณในลักษณะแบบรูปที่ไม่เหมือนกันแต่จะแตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศเป็นสำคัญสำหรับงบประมาณในแต่ละรูปแบบนั้นมีรายละเอียดพอสรุปๆดังต่อไปนี้คือ
| |
− |
| |
− | 1) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line Item Budget)
| |
− | งบประมาณแบบนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมมีรายการต่างๆมากมายและกำหนดเอาไว้ตายตัวจะพลิกแพลงจ่ายเป็นรายการอย่างอื่นผิดจากที่กำหนดไว้ไม่ได้และถึงแม้จะจ่ายตามรายการที่กำหนดไว้ก็ตามแต่จะจ่ายเกินวงเงินที่กำหนดไว้ไม่ได้ถ้าจะผันแปรหรือจ่ายเกินวงเงินอย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณหรือกระทรวงการคลังและหาเงินรายจ่ายมาเพิ่มให้พอจะจ่ายเสียก่อนงบประมาณแบบนี้มิได้เพ่งเล็งกิจการวางแผนวัตถุประสงค์และเป้าหมายตลอดจนถึงประสิทธิภาพของการบริหารงานเท่าใดนักทำให้ขาดการยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานทำงานไม่คล่องตัวเพราะเมื่อมีเหตุการณ์ผันแปรไปอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งกระทบกระเทือนไม่อาจทำงานให้เป็นไปตามรายการที่กำหนดไว้อย่างละเอียดตายตัวได้
| |
− |
| |
− | 2) งบประมาณแบบแสดงผลงาน ( Proformance Budget )
| |
− | เป็นงบประมาณที่ใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานให้ได้ผลตามความมุ่งหมายที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้โดยมีการติดตามและประเมินผลของโครงการต่างๆอย่างใกล้ชิดและมีการวัดผลงานในลักษณะวัดประสิทธิภาพในการทำงานว่างานที่ได้แต่ละหน่วยนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไรเป็นต้นโดยงบประมาณแบบนี้จะกำหนดงานเป็นลักษณะดังนี้
| |
− |
| |
− | 2.1 ลักษณะของงานที่จะทำเน้นหนักไปในทิศทางที่ว่าจะทำงานอะไรบ้านเป็นข้อสำคัญ
| |
− |
| |
− | 2.2 แผนของการดำเนินงานต่างๆเป็นแผนที่แสดงให้เห็นว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้กิจกรรมต่างๆแล้วเสร็จพร้อมด้วยคุณภาพของงาน
| |
− |
| |
− | 2.3 วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินเน้นหนักไปในทิศทางที่ว่าจะใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานตามโครงการต่างๆให้ลุล่วงไปตามเจตนาที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการนั้นๆไว้
| |
− |
| |
− | 3) งบประมาณแบบแสดงแผนงาน (Planning or Programming Budget) มีลักษณะดังนี้
| |
− |
| |
− | 3.1 เลิกการควบคุมรายละเอียดทั้งหมด
| |
− |
| |
− | 3.2 ให้กระทรวงทบวงกรมกำหนดแผนงาน
| |
− |
| |
− | 3.3 สำนักงบประมาณจะอนุมัติงบประมาณรายจ่ายให้แต่ละแผนงานโดยอิสระ
| |
− |
| |
− | 3.4 สำนักงบประมาณจะควบคุมโดยการตรวจสอบและประเมินผลของงานแต่ละแผนงานว่าได้บรรลุเป้าหมายตามแผนงานเพียงใดงบประมาณแบบนี้ประเทศไทยกำลังใช้อยู่โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2525 เป็นต้นมามีรูปแบบ
| |
− |
| |
− | ตามตารางที่ 3 โดยมีสาระสำคัญที่จะให้มีการใช้ทรัพยากรหรืองบประมาณที่มีอยู่จำกัดให้มีประสิทธิภาพและประหยัดซึ่งจะประกอบด้วยกระบวนการดำเนินการดังต่อไปนี้คือ
| |
− |
| |
− | (1) ให้มีการจัดแผนงานงานหรือโครงการเป็นระบบขึ้นมาโดยจัดเป็นโครงสร้างแผนงานงานหรือโครงการขึ้นมา
| |
− |
| |
− | (2) ให้มีการระบุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของแผนงานงานให้ชัดเจน
| |
− |
| |
− | (3) ให้แสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดของแผนงานหรือโครงการ
| |
− |
| |
− | (4) ให้แสดงถึงผลที่ได้รับจากแผนงานงานหรือโครงการเมื่อสำเร็จเสร็จเรียบร้อยลง
| |
− |
| |
− | (5) ให้มีการวิเคราะห์เลือกแผนงานงานหรือโครงการใดว่าจะมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการก่อนหลังกันอย่างไรหากดำเนินการตามกระบวนการข้างต้นแล้วจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรงบประมาณที่อยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดทั้งนี้เนื่องจาก
| |
− |
| |
− | • มีการกำหนดและเลือกแผนงานงานหรือโครงการที่เหมาะสมที่สุดและมีการกำหนดเป้าหมายต่างๆไว้ด้วยว่าจะไปแก้ปัญหาด้านไหนอย่างไรทำให้มีการใช้ทรัพยากรหรืองบประมาณไปในทางที่ดีที่สุดที่จะให้เกิดประสิทธิภาพและประหยัด
| |
− |
| |
− | • สามารถที่จะวิเคราะห์แผนงานงานหรือโครงการได้สะดวกเพราะจัดเป็นระบบขึ้นมาทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบว่าแผนงานงานหรือโครงการใดที่ดำเนินการอยู่มีความเหมาะสมที่จะดำเนินการต่อไปหรือควรยกเลิก
| |
− |
| |
− | • ทำให้สามารถมองการใช้จ่ายงบประมาณว่าได้ดำเนินการหนักทางด้านใดอย่างไรควรโยกย้ายหรือสับเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจสถานการณ์และนโยบายของรัฐบาลได้รวดเร็วขึ้น
| |
− |
| |
− | • ทำให้ส่วนราชการต่างๆนำเงินงบประมาณไปใช้ได้คล่องตัวกว่าเพราะสำนักงบประมาณจะพิจารณาในลักษณะผลงานมากกว่าการจัดซื้อจัดหา
| |
− |
| |
− | 4) งบประมาณแบบแสดงการวางแผนการกำหนดโครงการและระบบงบประมาณ(Planning, Programming and Budgeting System)
| |
− |
| |
− | ระบบนี้เป็นการแสดงตัวเลขค่าใช้จ่ายระยะยาวของโครงการที่ได้มีการวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วบวกกับมีข้อมูลที่ถูกต้องในการสนับสนุนโครงการนั้นส่วนประกอบของระบบ PPBS นี้ไม่มีอะไรใหม่เลยก็ว่าได้เพราะเป็นการรวมเอาแนวความคิดของระบบงบประมาณแบบแสดงแผนงาน (Program Budgeting) แนวความคิดในการวิเคราะห์ค่าหน่วยสุดท้ายทางเศรษฐศาสตร์ (Marginal Analysis) และการวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับผลอันถึงจะได้รับค่าใช้จ่ายในการนั้นๆ (Cost-Benefit Analysis) หรือ (Cost-Effectionness Analysis) นำมารวมกันเข้ากับการวิเคราะห์อย่างมีระบบโดยคำนึงถึงเวลาหลายปีข้างหน้า
| |
− | ลักษณะอันเป็นสารสำคัญของระบบ PPBS พอที่จะกล่าวได้คือ
| |
− |
| |
− | 4.1) มุ่งความสนใจในเรื่องการกำหนดโครงการ (Program) ตามวัตถุประสงค์อันเป็นพื้นฐานของรัฐบาลโครงการอาจจะได้การดำเนินงานจากส่วนราชการต่างๆซึ่งไม่ได้คำนึงถึงขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละส่วนราชการ
| |
− |
| |
− | 4.2) พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในอนาคต
| |
− |
| |
− | 4.3) พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายทุกชนิดทั้งค่าใช้จ่ายโดยตรงค่าใช้จ่ายประเภททุนและที่ไม่ใช่ประเภททุนรวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
| |
− |
| |
− | 4.4) การวิเคราะห์อย่างมีระบบเพื่อจะหาทางเลือกที่จะดำเนินงานลักษณะข้อนี้เป็นสาระสำคัญของระบบ PPBS ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง
| |
− |
| |
− | • การแสดงวัตถุประสงค์หรือเจตจำนงค์ของรัฐบาล
| |
− |
| |
− | • การแสดงทางเลือกดำเนินการต่างๆที่จะให้บรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนและอย่างเป็นธรรม
| |
− |
| |
− | • ประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องของทางเลือกดำเนินการแต่ละอัน
| |
− |
| |
− | • ประมาณผลอันพึงจะได้รับจากทางเลือกดำเนินการนั้นๆ
| |
− |
| |
− | • การเสนอค่าใช้จ่ายและผลอันพึงจะได้รับเพื่อเปรียบเทียบระหว่างทางเลือกดำเนินการนั้นๆพร้อมด้วยสมมุติฐานสาระสำคัญของระบบ PPBS ได้แก่การวิเคราะห์อย่างมีระเบียบซึ่งจะใช้ประโยชน์ใน
| |
− |
| |
− | การเสนองบประมาณของส่วนราชการอย่างเหมาะสมส่วนประกอบของการวิเคราะห์ได้แก่เรื่องใหญ่ๆ5 เรื่องคือ
| |
− |
| |
− | (1) วัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นจะถูกวางลงในรูป Program Structure ประเภทต่างๆของ Program ควรจะเป็นตัวแทนของวัตถุประสงค์ของราชการนั้นส่วนประกอบรองลงมาได้แก่Program element ได้แก่กลุ่มกิจกรรมซึ่งจะส่งผลสำเร็จไปสู่วัตถุประสงค์ใหญ่เทคนิคต่างๆที่ใช้ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับเศรษฐกิจของระบบ PPBS (จะกล่าวถึงต่อไป) ถูกเปลี่ยนมาใช้ System Analysis
| |
− |
| |
− | (2) ในการวิเคราะห์โครงการขั้นสำคัญได้แก่การกำหนดทางเลือกปฏิบัติทางเลือกนี้จะถูกนำมาใช้พิจารณาในกิจกรรมแต่ละอย่าง (Activity) หรือกลุ่มของกิจกรรมก็ได้ขอเพียงให้บรรลุวัตถุประสงค์
| |
− |
| |
− | (3) ค่าใช้จ่ายที่นำมาวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับทางเลือกดำเนินงานที่นำมาพิจารณาค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันระหว่างทางเลือกดำเนินงานจะต้องพิจารณาด้วยอย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายที่ใช้นี้จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวไม่ใช่แต่ละปี
| |
− |
| |
− | (4) Models ที่นำมาใช้ส่วนมากได้แก่เรื่อง Operations Research และเทคนิคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์มาก
| |
− |
| |
− | (5) เกณฑ์ประกอบการพิจารณาได้แก่กฎระเบียบต่างๆและมาตรฐานซึ่งจะช่วยในการให้ลำดับความสำคัญของทางเลือกดำเนินงานต่างๆและช่วยในการชั่งนํ้าหนักระหว่างค่าใช้จ่ายกับผลอันพึงจะได้รับ
| |
− |
| |
− | 5) งบประมาณแบบฐานศูนย์ (ZERO BASE)
| |
− | งบประมาณแบบฐานศูนย์ในลักษณะกว้างๆเป็นระบบงบประมาณที่จะพิจารณางบประมาณทุกปีอย่างละเอียดทุกรายการโดยไม่คำนึงถึงว่ารายการหรือแผนงานนั้นจะเป็นรายการหรือแผนงานเดิมหรือไม่ถึงแม้รายการหรือแผนงานเดิมที่เคยถูกพิจารณาและได้รับงบประมาณในงบประมาณปีที่แล้วก็จะถูกพิจารณาอีกครั้งและอาจเป็นไปได้ว่าในปีนี้อาจจะถูกตัดงบประมาณลงก็ได้เช่นแผนงานแผนงานหนึ่งปีที่แล้วได้รับงบประมาณรวม 1,000 ล้านบาทเพราะถูกจัดไว้ว่ามีความจำเป็นและสำคัญลำดับ 1 พอมาปีงบประมาณใหม่อาจจะได้รับงบประมาณ 500 ล้านบาทไม่ถึง 1,000 ล้านบาทเดิมก็ได้ทั้งนี้เพราะเป็นแผนงานที่จำเป็นและสำคัญสำหรับปีที่แล้วแต่พอมาปีนี้แผนงานนั้นๆอาจจะไม่จำเป็นหรือสำคัญเป็นอันดับที่ 1 ต่อไปก็ได้ไม่จำเป็นต้องได้รับงบประมาณเท่าเดิมต่อไปก็ได้และในทางตรงกันข้ามแผนงานอีกแผนงานหนึ่งปีที่แล้วถูกจัดอันดับความสำคัญไว้ที่ 3 แต่พอมาปีนี้อาจจะจัดอันดับความสำคัญเป็นที่ 1 และได้รับงบประมาณมากกว่าเดิมปีที่แล้วเพิ่มขึ้นอีกร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้
| |
− |
| |
− | 6) งบประมาณแบบสะสม (Incremental Budget)
| |
− | การจัดทำงบประมาณในแต่ละปีเป็นภาระหนักเนื่องจากต้องใช้ข้อมูลมากในการพิจารณาและต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงานด้วยกันดังนั้นต้องใช้เวลามากในการจัดทำงบประมาณหากจะต้องจัดทำงบประมาณใหม่ทั้งหมดทุกปีคงจะทำได้ยากและคงมีข้อบกพร่องมากด้วยดังนั้นเพื่อให้ทันกับเวลาที่มีอยู่และเพื่อให้งบประมาณได้พิจาณณาให้เสร็จทันและสามารถนำงบประมาณมาใช้จ่ายได้จึงได้มีการพิจาณางบประมาณเฉพาะส่วนเงินงบประมาณที่เพิ่มใหม่ที่ยังไม่ได้รับการพิจารภณาจากปีที่แล้วนั้นแต่เงินงบประมาณในปีที่แล้วที่ได้เคยพิจารณาไปครั้งหนึ่งแล้วจะไม่มีการพิจารณาอีกครั้งเพียงแต่ยกยอดเงินมาตั้งเป็นงบประมาณใหม่ได้เลยเพราะถือว่าได้มีการพิจารณาไปแล้วครั้งหนึ่งคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปพิจารณาใหม่อีกครั้ง
| |
− |
| |
− | 3.4 ปัญหาในการบริหารและจัดทำนโยบาย
| |
− | การจัดทำงบประมาณนั้นต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากรวมทั้งจะต้องบริหารและจัดสรรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแต่ละหน่วยงานจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านการดำเนินงานบุคลากรวัฒนธรรมองค์กรฯลฯดังนั้นในการทำงบประมาณจึงประสบปัญหาที่แตกต่างกันออกไปซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
| |
− |
| |
− | • ปัญหาด้านระบบงบประมาณ
| |
− |
| |
− | 1) หน่วยงานขาดการวางแผนระยะยาวในช่วงระยะเวลา 5 ปีต่อครั้งถึงแม้จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้วแต่ก็เป็นการทำแผนพัฒนาในภาพกว้างหน่วยงานจึงควรมีวางแผนระยะยาวของตนเอง
| |
− |
| |
− | 2) หน่วยงานต่างๆทำคำของบประมาณของตนเองโดยไม่มีการพิจารณากลั่นกรองขั้นตอนว่าสอดคล้องกับนโยบายและแผนงานที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ทำให้การบริหารงบประมาณขาดประสิทธิภาพ
| |
− |
| |
− | 3) ขาดความเชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างแผนงานนโยบายและแผนปฏิบัติการทำให้การจัดระบบงานในทุกระดับมีความขัดแย้งกัน
| |
− |
| |
− | 4) โครงสร้างแผนงานที่ใช้ขาดความสมบูรณ์ในตัวเองขาดการลำดับความสำคัญของงานมีความซํ้าซ้อนของงานและก่อให้เกิดความสับสนและสิ้นเปลืองงบประมาณเป็นอย่างมาก
| |
− |
| |
− | 5) ปัญหาความซํ้าซ้อนของงานและโครงการซึ่งมีสาเหตุมาจากการขยายขอบเขตการดำเนินงานของหน่วยงานเกินกว่าที่กำหนดในอำนาจหน้าที่ขาดการพิจารณาขอบเขตของงานว่าควรจะลดหรือยุบเลิกงานไปเมื่อไม่มีความจำเป็นในงานนั้นต่อไปแล้ว
| |
− |
| |
− | 6) ขาดข้อมูลพื้นฐานในการทำงบประมาณการทำงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องอาศัยข้อมูลที่สมบูรณ์ทุกด้านเช่นระเบียบการเงินต่างๆเกณฑ์มาตรฐานครุภัณฑ์ระเบียบการจ่ายเงินค่าตอบแทนการไปราชการข้อมูลจำนวนนักศึกษาแผนการเรียนฯลฯ
| |
− |
| |
− | 7) หน่วยงานตั้งงบประมาณรายจ่ายโดยขาดแนวทางทิศทางที่ถูกต้องและขาดการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณรายจ่ายมีผลทำให้งบประมาณสูงเกินความจำเป็น
| |
− |
| |
− | 8) คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดงบประมาณขาดประสบการณ์ความรู้ด้านการเงินงบประมาณและความรู้รอบตัวเกี่ยวกับการทำงานของหน่วยงานเพื่อจะได้รู้ทันการจัดการงบประมาณของหน่วยต่างๆและสามารถพิจารณาได้อย่างรอบคอบขึ้นอยู่กับฐานของความเป็นจริง
| |
− |
| |
− | 9) ปัญหาด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการวางฎีกาเบิกจ่ายเงินที่มีระเบียบข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามมากมายหน่วยงานต้องเสียเวลาในการปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนจนบางครั้งไม่สามารถ
| |
− | ดำเนินการซื้อได้ทันเวลา
| |
− |
| |
− | 10) ปัญหาอื่นๆเช่นพัสดุครุภัณฑ์ที่จัดซื้อตามระเบียบหลายครั้งจะมีคุณภาพตํ่าและไม่สามารถใช้งานได้ซึ่งถ้าไม่ทำตามระเบียบอาจจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนความผิดได้
| |
− |
| |
− | • ปัญหาด้านองค์กรประมาณ
| |
− |
| |
− | 1) รูปแบบขององค์กรไม่สอดคล้องกับระบบงบประมาณที่ใช้อยู่องค์กรงบประมาณโดยทั่วไปอยู่ในรูปแบบเก่าไม่ได้จัดในลักษณะแผนงานทำให้งานบางด้านขาดหายไป
| |
− |
| |
− | 2) ศักยภาพขององค์กรขาดความพร้อมในหลายด้านเช่นความพร้อมของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพขาดความพร้อมเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยอย่างพอเพียงองค์กรขาดความสามารถในการปรับตัวให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่มีผลต่อการจัดการงบประมาณ
| |
− |
| |
− | 3) ขาดการจัดองค์กรตามทฤษฎีองค์กรและการบริหารที่ดีซึ่งการบริหารที่ดีนั้นจะต้องคำนึงถึงหลักการบริหารและหลักขององค์กรได้แก่การวางแผนการจัดองค์กรการจัดบุคลากรการกำกับดูแลการประสานงานการรายงานและการจัดงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ
| |
− |
| |
− | 4) การจัดองค์กรงบประมาณยังให้ความสำคัญไม่เท่าเทียมกันในแต่ละด้าน
| |
− |
| |
− | • ปัญหาด้านเจ้าหน้าที่งบประมาณ
| |
− |
| |
− | 1) เจ้าหน้าที่งบประมาณต้องมีวิจารณญาณทีดีมีความรู้รอบตัวด้านต่างๆเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาให้มีประสิทธิภาพดีที่สุดต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายเพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการจัดการงบประมาณ
| |
− |
| |
− | 2) เจ้าหน้าที่งบประมาณขาดประสบการณ์และคุณสมบัติไม่ตรงกับงานที่ทำควรมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่งบประมาณเพื่อให้มีศักยภาพสูงขึ้นสามารถทำงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| |
− |
| |
− | 3) เจ้าหน้าที่งบประมาณมีน้อยไม่พียงพอ
| |
− |
| |
− | • ข้อเสนอแนะด้านงบประมาณ
| |
− |
| |
− | เพื่อให้งานงบประมาณดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ควรมีการเตรียมการ
| |
− | ดังนี้
| |
− |
| |
− | 1) ควรจัดให้มีการวางแผนทางการเงินในระยะยาวขึ้นอาจเป็น 5 ปีหรือเท่ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมก็ได้เพื่อเป็นแนวทางหลักในการวางแผนทางการเงินในระยะสั้นให้มีแนวทางไปในทางเดียวกัน
| |
− |
| |
− | 2) งบประมาณที่หน่วยงานเสนอมาต้องผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยงานขั้นต้นมาก่อนเป็นอย่างดี
| |
− |
| |
− | 3) ควรจัดให้มีการเชื่อมโยงระหว่างแผนงานต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน
| |
− |
| |
− | 4) ควรมีการทบทวนและจัดทำโครงสร้างแผนงานให้สมบูรณ์อยู่เสมอเพื่อขจัดความซํ้าซ้อนของงานต่างๆที่มีอยู่ในโครงสร้างแผนงานและมีการจัดเรียงลำดับความสำคัญขึ้นใหม่ตามสถานกรณ์ปัจจุบันและในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
| |
− |
| |
− | 5) ควรมีการพิจารณาลดหรือยุบเลิกงานที่ไม่มีความจำเป็นหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อจะได้ใช้งบประมาณไปในทางที่เป็นประโยชน์ด้านอื่น
| |
− |
| |
− | 6) ควรมีการตั้งศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์ขึ้นเพื่อให้มีการรวบรวมข้อมูลทุกด้านที่จะนำมาใช้ในการจัดเตรียมทำงบประมาณ
| |
− |
| |
− | 7) ควรมีการปรับปรุงทบทวนแก้ไขระเบียบและข้อบังคับต่างๆที่ล้าสมัยให้ทันสมัยมีประสิทธิภาพและเอื้อต่อการทำงบประมาณ
| |
− |
| |
− | 8) ควรมีการลดขั้นตอนการปฏิบัติบางอย่างที่ไม่จำเป็นลงเหลือไว้เฉพาะขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อประหยัดเวลาการทำงาน
| |
− |
| |
− | 9) ควรปรับปรุงรูปแบบองค์กรงบประมาณให้สอดคล้องกับระบบประมาณที่ใช้อยู่เพื่อประหยัดเวลาการทำงาน
| |
− |
| |
− | 10) ควรจัดเจ้าหน้าที่งบประมาณลงปฏิบัติงานให้ตรงกับความรู้ความสามารถและมีการพัฒนาให้มีวิจารณญาณที่ดีมีความรอบรู้ในด้านต่างๆที่จะนำมาใช้ประกอบการจัดทำงบประมาณการวิเคราะห์งบประมาณทั้งทางตรงและทางอ้อม
| |
− |
| |
− | 11) คณะกรรมการผู้พิจารณางบประมาณควรเป็นผู้ที่มีวิจารณญาณที่ดีมีทัศนเปิดกว้างยินดีรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นต่างๆเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีมีวิสัยทัศน์พิจารณางบประมาณในลักษณะเปิดกว้างเป็นกลางโดยคำนึงถึงความจำเป็นด้านต่างๆให้สอดคล้องกันอย่ามุ่งแต่ประเด็นเพียงเพื่อจะตัดงบประมาณเพียงอย่างเดียวหรือมองในรายละเอียดมากจนเกินไป
| |
− |
| |
− | ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
| |
− |
| |
− | 1. http://www.plan.rbru.ac.th/download/know.pdf
| |
− |
| |
− | ==การบริหารงานเครือข่ายในภาครัฐ==
| |
− |
| |
− | 4.1 ความหมาย
| |
− |
| |
− | “เครือข่าย” หมายถึง รูปแบบของการประสานงานกลุ่มของคนหรือองค์กรที่สมัครใจแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกัน โดยการติดต่ออาจทำได้ทั้งที่ผ่านศูนย์กลางแม่ข่ายหรือแกนนำ หรืออาจจะไม่มีแม่ข่ายหรือแกนนำแต่จะทำการติดต่อโดยตรงระหว่างกลุ่ม ซึ่งจะมีการจัดรูปแบบหรือจัดระเบียบโครงสร้างที่คนหรือองค์กรสมาชิกยังคงมีความเป็นอิสระ โดยที่อาจมีรูปแบบการรวมตัวแบบหลวมๆ เฉพาะกิจ ตามความจำเป็นหรือเป็นโครงสร้างที่มีความสัมพันธ์ชัดเจน
| |
− |
| |
− | 4.2 เครือข่ายภาคประชาชน
| |
− | เครือข่ายภาคประชาชน เป็นการรวมตัวของภาคประชาชนในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในชุมชนชนบท เป็นการรวมของปัจเจกบุคคล กลุ่มคนและเครือข่าย โดยอาศัยวัฒนธรรมชุมชน กระบวนการทำงานร่วมกับภาคีอื่นๆ และระบบเทคโนโลยี เป็นเครื่องหนุนเสริมให้เกิดการรวมตัว โดยเครือข่ายภาคประชาชนเกิดขึ้นทั้งจากการเห็นความจำเป็นในการรวมพลังเพื่อแก้ไขปัญหา เกิดจากการเรียนรู้และการถ่ายทอดประสบการณ์ร่วมกัน โดยเป็นกระบวนการที่เป็นไปตามธรรมชาติ และเกิดขึ้นจากการส่งเสริม โดยหน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องการให้องค์กร ชุมชน และสังคม มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาตนเองตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของภาครัฐหรือหน่วยงานที่กำหนดไว้
| |
− |
| |
− | กระบวนการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนนั้น สามารถจำแนกเป็น ระดับใหญ่ๆ คือระดับแรกเป็นการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการปรับเปลี่ยนเรียนรู้และการจัดการตัวเองของชุมชน และระดับที่ เป็นการสร้างโอกาส สร้างศักยภาพของเครือข่ายและขยายกลุ่มองค์กรชุมชน ไปยังเครือข่ายอื่นๆ จนถึงระดับจังหวัดและระดับประเทศหรือข้ามพรมแดนนอกเขตการปกครองที่โยงใยกันอย่างทั่วถึง การรวมตัวของภาคประชาชนเหล่านี้เป็นพลังที่ช่วยเสริมสร้างให้เกิดการพึ่งพาตนเอง และการพัฒนาสังคม โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเรียนรู้ การสืบทอดภูมิปัญญาและกรปรับตัวของชุมชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและการพัฒนาประเทศ โดยเครือข่ายภาคประชาชนจะมีการกำหนดความเป็นเครือข่ายผ่านกิจกรรม ฐานอาชีพและกระบวนการเชื่อมโยง เช่น เครือข่ายป่าชุมชน เครือข่ายกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ เครือข่ายประมงพื้นบ้าน เครือข่ายอุตสาหกรรมชุมชน เครือข่ายวิทยุชุมชน เป็นต้นองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนเหล่านี้ มีกิจกรรมและความต่อเนื่องบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองและวัฒนธรรมชุมชน กระบวนการทำงานส่วนใหญ่จึงเป็นไปเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน การจัดการทรัพยากรในชุมชน และการทำงานร่วมกับภาครัฐ ซึ่งเป็นรากฐานให้เกิดแนวร่วม ในระดับที่สูงขึ้นไป เช่น การเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนหมู่บ้าน กลุ่มอาชีพในระดับตำบล และการเข้าร่วมเป็นภาคประชาชนสังคมระดับจังหวัด กระบวนการเครือข่ายภาคประชาชนนี้นับว่ามีบทบาทที่สำคัญ
| |
− | ต่อการพัฒนาประเทศ เพราะว่าเป็นพลังของแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก
| |
− |
| |
− | ข้อจำกัดของเครือข่ายภาคประชาชน อยู่ที่ขาดการเรียนรู้ในเชิงมหภาคและระดับโลก การปรับตัวของชุมชน การจัดระบบการจัดการตัวเอง การสนับสนุนอย่างเป็นระบบทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน การขาดผู้นำ รวมทั้งการขาดระบบ
| |
− |
| |
− | การจัดการเครือข่ายที่จะทำให้เครือข่ายมีกิจกรรมที่ต่อเนื่อง
| |
− | ข้อดีหรือจุดแข็ง คือ การใช้ระบบวัฒนธรรม ความเชื่อ ความไว้วางใจและการเข้าใจถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับชุมชน เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงและการสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมทั้งการพัฒนาบนพื้นฐานแห่งความเข้าใจ และความสอดคล้องในวิถีชีวิตและธรรมชาติของสรรพสิ่ง ซึ่งในมิติหลัง คือ การสร้างวัฒนธรรมของตนเองในการดำรงอยู่ในสังคม
| |
− |
| |
− | 4.3 เครือข่ายภาครัฐ
| |
− | ภาครัฐเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบด้วยนโยบายของภาครัฐแต่ละช่วงเวลา แต่ด้วยระบบที่มีมาอย่างยาวนานนั้น ได้สร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจและการรวมศูนย์ที่ยากแก่การนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม เพราะเป็นการวางรากฐาน/การวางแผนที่มาจากส่วนบนหรือผู้ที่มีอำนาจ การสร้างอำนาจนิยมของภาครัฐดังกล่าว ได้กลายเป็นการสะสมปัญหาเชิงโครงสร้างให้เกิดขึ้นอีกต่อกระบวนการพัฒนาในสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อมาภาครัฐเองก็ได้มีการปรับตัว/ปฏิรูปกระบวนการทำงาน โดยการสนับสนุนกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายและ มีการปรึกษาหารือกันมากขึ้น โดยผ่านช่องทางด้านกฎหมายและกระบวนการทำงาน โดยกระบวนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพัฒนาภาครัฐนั้น จะมีการดำเนินการในลักษณะของงานด้านการพัฒนาชุมชนที่ภาครัฐเป็นผู้ให้แนวคิด กระบวนการทำงานมากกว่ากระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ของภาคประชาชน และการส่งเสริมความเป็นเครือข่ายของภาครัฐนั้น มักจะเป็นการจัดตั้งมากกว่าเน้นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของภาคประชาชน
| |
− | เครือข่ายภาครัฐจะมีหลากหลายประเภทตามโครงสร้างและภารกิจของหน่วยงาน เช่น เครือข่ายสถาบันการศึกษา เครือข่ายกระทรวงมหาดไทย เครือข่ายเกษตรกรเพื่อการผลิตของกรมการพัฒนาชุมชน เครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน และเครือข่ายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
| |
− |
| |
− | กลุ่มองค์กร เครือข่าย ที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งภาครัฐเหล่านี้ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนาและการเข้าไปส่งเสริมการทำงานในระดับชุมชน อำเภอ และจังหวัด โดยเป็นการเชื่อมประสานการทำงานระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนที่มีลักษณะทั้งที่เป็นแนวดิ่ง คือ จากบนลงล่าง และแนวนอน คือ การทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ขาดการวางแผนร่วมกันระหว่างชาวบ้านและรัฐ ดังนั้น กลุ่ม องค์กร เครือข่ายของรัฐหรือโครงการต่างๆ ที่ภาครัฐสนับสนุนเหล่านี้ เมื่อโครงการตามภารกิจนั้นๆ สิ้นสุดลง ความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง รวมทั้งการเรียนรู้ก็สิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน เป็นความไม่ต่อเนื่อง และไม่ก่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาเป็นเครือข่ายที่ยั่งยืน
| |
− | จากสถานการณ์ดังกล่าว ภาครัฐจึงได้มีการปรับตัวในการที่จะปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากในปัจจุบันมีองค์กรอิสระใหม่ของภาครัฐมากมาย ซึ่งองค์กรเหล่านั้นต่างก็มุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆ เช่น สถาบันพระปกเกล้า สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พอช. กองทุนเพื่อสังคม หรือแม้กระทั่งกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาครัฐได้มีแนวทางในการขับเคลื่อนสังคมร่วมกับภาคประชาชนให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น
| |
− |
| |
− | ข้อดีของเครือข่ายภาครัฐ คือ การเสริมสร้างมวลบนพื้นฐานแห่งความมั่นคงของชาติและการส่งเสริมการพัฒนาที่ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐและการพัฒนาประเทศในภาพรวม โดยมีระบบระเบียบการจัดการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง รวมทั้งมีแนวทางการขับเคลื่อนสังคมด้วยกิจกรรมที่หลากหลายตามภารกิจของกระทรวง และกรมกองต่างๆ
| |
− | ข้อจำกัด คือ กระบวนการดำเนินการ เช่น เป็นการวางแผนที่มิได้มาจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ขาดความยืดหยุ่นในกระบวนการทำงาน ขาดการกระจายความรับผิดชอบให้กับชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง และขาดการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้คนในสังคม รวมทั้งปัญหาการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่บางส่วน
| |
− |
| |
− | 4.4 เครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน
| |
− |
| |
− | ในภาคธุรกิจเอกชน เป็นที่ยอมรับกันว่า การประสานผลประโยชน์เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลตอบแทน เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจเอกชนได้ดำเนินการอยู่เสมอ ภายใต้ความร่วมมือในฐานะความเป็นหุ้นส่วนต่อกัน โดยความเป็นหุ้นส่วนนั้นเป็นทั้งในรูปแบบของความร่วมมือในการผลิตการค้าขาย การประสานผลประโยชน์ และการรวมพลังเพื่อพัฒนาสังคม โดยเครือข่ายในภาคธุรกิจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการรวมตัวของผู้ทำงานในธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่กลุ่มองค์กรในภาคธุรกิจต่างๆ มารวมตัวกันเป็นเครือข่ายภาคธุรกิจ เช่น สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมและเครือข่ายองค์กรธุรกิจเอกชนอื่นๆ ที่ภาครัฐส่งเสริม เช่น สมาคมผู้ส่งออก สมาคมผู้ประกอบการค้า เป็นต้น โดยเครือข่ายภาคธุรกิจเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการประสานผลประโยชน์ และสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของการดำเนินการทางธุรกิจ และการคืนกำไรให้กับสังคม
| |
− |
| |
− | กระบวนการเกิดเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชนดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีที่จะประสานและร่วมกันรักษาผลประโยชน์ในทางธุรกิจ และนำไปสู่การพัฒนาสังคมในด้านอื่นๆ โดยในช่วงที่ผ่านมาวงการธุรกิจถูกมองว่าฉกฉวยผลประโยชน์จากภาคประชาชน และใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง มีการผูกขาดทางการค้า ฯลฯ ซึ่งจากการมองดังกล่าวและกอปรกับการเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้ภาคธุรกิจเอกชนมีการปรับตัวเป็นธุรกิจเพื่อสังคม และมีแนวโน้มในการทำธุรกิจที่สามารถรับใช้และคืนประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นเครือข่ายในภาคธุรกิจจึงมีการพัฒนากระบวนการทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคประชาชน ในลักษณะของการเข้าร่วมเป็นเครือข่าย เช่น เครือข่าย เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เครือข่ายธุรกิจเพื่อปฏิรูปการศึกษา เครือข่ายภาคธุรกิจเพื่อการพัฒนาชุมชน เป็นต้น
| |
− |
| |
− | จุดแข็งของเครือข่ายภาคธุรกิจ คือ มีกระบวนการทำงานที่รวดเร็ว มีความสามารถในการระดมทุนเพื่อการจัดการและมีความสามารถในการพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
| |
− | ข้อจำกัด คือ คำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถทำการลงทุนในการเพื่อพัฒนาสังคมได้อย่างไรก็ตาม กระบวนการพัฒนาความเป็นเครือข่ายของภาคธุรกิจเอกชน มีความน่าสนใจตรงที่การเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพขององค์กร และการรักษาผลประโยชน์ของเครือข่าย รวมทั้งมีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
| |
− |
| |
− | 4.5 เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน
| |
− |
| |
− | องค์กรพัฒนาเอกชนเป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสังคม โดยมีพัฒนาการมาจากการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมขององค์กรระหว่างประเทศ ที่เข้ามาสนับสนุนการทำงานและการเรียนรู้ของภาคประชาชน หลังจากนั้นจึงมีการสนับสนุนให้องค์กรและภาคประชาชนให้ดำเนินการจัดการในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม โดยมีเป้าหมาย เพื่อร่วมคลี่คลายปัญหาในสังคม เป็นภาคส่วนที่มีแนวทางในการทำงานที่หลากหลายและมีความพยายามที่จะแสวงหาและเสนอทางเลือกในการพัฒนาประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพในการพัฒนาและมีความสามารถในการพึ่งตนเอง โดยมีบทบาทที่สำคัญ คือ การนำเสนอและผลักดันการแก้ไขปัญหาของผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้ปรากฏขึ้น เช่น ในด้านสิทธิมนุษยชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สวัสดิการและแรงงาน เป็นต้น ซึ่งลักษณะงานขององค์กรพัฒนาเอกชน คือ การเน้นการเสริมสร้างกระบวนการพัฒนา การสร้างจิตสำนึก การรวมกลุ่ม และการเผยแพร่ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยมีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างต่อเนื่องตามภารกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
| |
− | ที่ผ่านมา เครือข่ายขององค์กรพัฒนาเอกชนได้มีการพัฒนาเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากในสังคมไทย บางเครือข่ายก็ประสบผลสำเร็จในฐานะองค์กรที่ให้การสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ บางองค์กรเครือข่ายก็เป็นฐานทุนให้กับภาคประชาชน แต่ก็มีบางเครือข่ายที่ยังต้องพึ่งพาทุนจากต่างประเทศที่นำมาซึ่งความสงสัยในกระบวนการทำงาน ในที่นี้จะยกตัวอย่างองค์กรพัฒนาเอกชนที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายและสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น เช่น เครือข่ายด้านแรงงานสัมพันธ์ เครือข่ายด้านทรัพยากรธรรมชาติ/สิ่งแวดล้อม เครือข่ายสิทธิมนุษยชน ฯลฯ
| |
− |
| |
− | เครือข่ายขององค์กรพัฒนาเอชนเหล่านี้ เป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริงในสังคมไทย เป็นพลังขับเคลื่อนให้ภาคประชาชนได้มีความตื่นตัวและปรับตัวในการพัฒนาตนเอง ด้วยความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากร ระบบการสื่อสาร และการทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัด รวมทั้งการสนับสนุนในด้านวิชาการของสถาบันการศึกษา จึงทำให้เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนสร้างพื้นที่ทางสังคมให้กับตนเองและให้ภาคประชาชนได้มุมมองและทางเลือกในการพัฒนา ซึ่งเป็นนิมิตหมายหนึ่งของการพัฒนาที่มี ความหลากหลายในสังคมปัจจุบัน
| |
− |
| |
− | จุดแข็งของภาคองค์กรพัฒนาเอกชน คือ การมุ่งเน้นในการเสนอทางเลือกในการพัฒนาสังคม การส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
| |
− | ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดทั้งในเรื่องของงบประมาณในการดำเนินการ การขาดจิตสำนึกของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม รวมทั้งการดำเนินงาน ที่ขัดผลประโยชน์ต่อกลุ่มอิทธิพล จึงทำให้กระบวนการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนเป็นที่สงสัยเคลือบแคลงของภาครัฐและภาคประชาชน และบางครั้งการใช้กิจกรรมบางประเภทเป็นเครื่องมือในการทำงานเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับบริบทในสังคมไทย ยิ่งทำให้การยอมรับในการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนมีข้อจำกัดมากขึ้น
| |
− |
| |
− | 4.6 กระบวนการทำงานของเครือข่าย
| |
− |
| |
− | การทำงานร่วมกัน ถือได้ว่า เป็นภารกิจที่สำคัญของการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย กล่าวคือ ความเป็นเครือข่ายมีความสัมพันธ์กับงานและสัมพันธภาพระหว่างกัน ซึ่งงาน/ภารกิจและความเป็นภาคีต่อกันนั้น จะนำไปสู่การเรียนรู้และการสร้างกระบวนการความเคลื่อนไหวทางสังคม ดังนั้นกระบวนการทำงานของเครือข่าย สามารถพิจารณาได้จากการทำงาน สัมพันธภาพ การเรียนรู้และความเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การจัดการกับสิ่งต่างๆ ภายใต้บริบทที่เกิดขึ้น โดยแต่ละเครือข่ายก็มีกระบวนการทำงานที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และเป้าหมายที่กำหนด ในที่นี้ จะกล่าวถึง กระบวนการทำงานของเครือข่ายต่างๆ มีลักษณะร่วมกันใน ประเด็น คือ
| |
− |
| |
− | กระบวนการทำงานที่เชื่อมประสานจากจุดเล็กและขยายไปสู่หน่วยใหญ่ ในกระบวนการทำงานของเครือข่ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายระดับใดหรือประเภทใด สิ่งที่เครือข่ายต่างๆ ดำเนินการในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ การทำงานที่เชื่อมประสานจากประเด็นเล็กๆ แล้วขยายไปสู่การทำงานที่หลากหลายขึ้น โดยเป็นการขยายทั้งกิจกรรม พื้นที่ และเป้าหมาย การดำเนินการ กล่าวคือ เป็นกระบวนการทำงานที่ต่อยอดจากฐานงานเดิมที่กลุ่มเครือข่ายนั้นมีอยู่ และเป็นการแสวงหาแนวร่วมใหม่ เครือข่ายใหม่ ที่จะช่วยให้เครือข่ายนั้นได้มีความรู้ ประสบการณ์และมีพลังอำนาจในการต่อรองกับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ โดยเป็นการที่ทุกฝ่ายเข้ามาศึกษา เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และพัฒนากิจกรรมร่วมกัน ตัวอย่างเช่น เครือข่ายวิทยุชุมชนในจังหวัดลำปาง ที่ได้สานต่อและดำเนินกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายการศึกษา กลุ่มเซรามิก กลุ่มทิพย์ช้าง เครือข่ายสิ่งแวดล้อม เครือข่ายเศรษฐกิจชุมชน และองค์กรประชาชนใน อำเภอ ฯลฯ ร่วมกันจัดตั้งเป็น องค์กรชุมชนคนลำปางที่ได้ดำเนินการเพื่อพัฒนากิจกรรมการสื่อสารการพัฒนาชุมชน การเสริมสร้างการเรียนรู้ และกิจกรรมเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในจังหวัดลำปางการเริ่มต้นจากจุดเล็กและขยายเป็นหน่วยใหญ่ดังกล่าว เป็นกระบวนการหนึ่งของการทำงานในเครือข่าย โดยเป็นทั้งขั้นตอนของการก่อตัวและกระบวนการทำงาน ซึ่งเครือข่ายที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีความเข็มแข็งนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการไม่มองข้ามในจุดเล็ก เริ่มต้นจากการทำงานในสิ่งที่รู้และเข้าใจแล้วค่อยๆ เชื่อมประสานกับองค์กรอื่น เครือข่ายอื่นในประเด็นกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งเป็นผลให้การทำงานของเครือข่ายนั้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่มากขึ้น และกระบวนการทำงานที่เชื่อมประสานของเครือข่ายในลักษณะนี้ เป็นการทำงานที่ควบคู่กันไปทั้งการทำงานในระดับพื้นที่และการสานต่อไปในระดับนโยบาย นอกจากนี้ในกระบวนการทำงานของเครือข่ายนั้น เครือข่ายส่วนใหญ่จะใช้วิธีการทำงานที่หลากหลาย เช่น การใช้พื้นที่เป็นสถานที่ดำเนินการ การใช้ประเด็นปัญหาเป็นกิจกรรมในการขับเคลื่อนการใช้ศูนย์ประสานงานเป็นที่รวบรวมข้อมูล ฯลฯ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเน้นการใช้ความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่ มาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ โดยมีการปรับเปลี่ยนวิธีการไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
| |
− |
| |
− | การรักษาสัมพันธภาพที่สร้างความรู้ ความหมาย และโลกทัศน์ร่วมกัน การที่เครือข่ายจะดำเนินการต่อไปได้นั้น การรักษาสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกและภาคีในเครือข่ายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะถ้าไม่มีการรักษาสัมพันธภาพระหว่างกันแล้ว กิจกรรมและความเคลื่อนไหวของเครือข่ายอาจมีการยุติลง เพราะขาดภาคีร่วมดำเนินการ ดังนั้น ในกระบวนการทำงานและการจัดการเครือข่ายจะต้องคำนึงถึงการรักษาสัมพันธภาพที่สร้างความรู้ ความหมาย และโลกทัศน์ร่วม กล่าวคือ หลังจากที่ภาคีในเครือข่ายเห็นความจำเป็นของเครือข่ายว่า มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเครือข่ายและการพัฒนาสังคม สิ่งที่คนในเครือข่ายนั้นจะพึงมีต่อกัน คือ การสร้างความรู้ และความหมายในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เพราะคนในเครือข่ายเดียวกันย่อมจะรู้ความหมายของเครือข่ายมากกว่าคนอื่นๆ การสร้างความรู้ ความหมายภายในเครือข่ายเป็นการสร้างโลกทัศน์หรือมุมมองในการพัฒนาเครือข่ายให้เข็มแข็ง และเป็นการขยายแนวคิดและกระบวนการให้กว้างขวางออกไป โดยการสื่อสารจะเป็นช่องทางที่นำไปสู่การสร้างพันธกรณีและการประสานผลประโยชน์ร่วมกัน การสื่อสารทั้งทางตรงและทางอ้อมของปัจเจกบุคคล กลุ่ม องค์กร จะทำให้เครือข่ายมองเห็นภาพความเคลื่อนไหว และการสร้างความรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาความเป็นเครือข่ายให้มีความเข้มแข็งในการรักษาสัมพันธภาพเพื่อสร้างความรู้ ความหมาย และโลกทัศน์ร่วม
| |
− |
| |
− | ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : 1. การสร้างและการบริหารเครือข่ายในยุคปัจจุบัน ที่มา http://www.ldinet.org/2008/index.php?option=com_content&task=view&id=768&Itemid=32
| |
− |
| |
− | ==การจัดการผังเมือง==
| |
− |
| |
− | 5.1 ความหมาย
| |
− |
| |
− | การผังเมือง หมายความว่า การวางจัดทำและดำเนินการให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและ ผังเมืองเฉพาะในบริเวณเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาเมืองในอนาคต และการกำหนดแนวทางดังกล่าวยังต้องคำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงามการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ความปลอดภัย สวัสดิภาพของสังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการดำรงรักษาหรือบูรณะสถานที่ที่มีคุณค่าทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีอีกด้วย
| |
− |
| |
− | 5.2 การมีส่วนร่วมนารจัดการผังเมืองของประชาชน
| |
− |
| |
− | ผังเมืองเป็นเครื่องช่วยสนับสนุนให้รัฐและเอกชนบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆในการพัฒนาเมืองร่วมกัน ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนร่วมในการทำให้เป้าหมายต่างๆกลายเป็นจริงขึ้นมา ได้แก่การสนับสนุนทางด้านงบประมาณและการที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางผังเมืองนั้นแต่เนื่องจากขั้นตอนในการวางผังเมืองมีความสลับซับซ้อน จึงต้องใช้เวลานานในการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ กฏหมายได้กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานดังนี้
| |
− |
| |
− | 1.) เมื่อจะมีการวางผังเมืองรวม ณท้องที่ใดตามกฏหมายระบุให้ต้องมีการปิดประกาศเพื่อแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่า จะมีการวางและจัดทำผังเมือง ณ ท้องที่นั้น ประชาชนในท้องที่ ดังกล่าวสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการได้ โดยการให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการวางและจัดทำผังขั้นตอนนี้พอจะเปรียบเทียบกับงานออกแบบบ้านได้ว่าประชาชนในท้องที่ที่จะวางผังก็คือเจ้าของบ้านหรือผู้ใช้อาคาร ซึ่งควรจะชี้แจงความต้องการต่างๆของข้อมูลสมาชิกในครอบครัวให้สถาปนิกทราบ เพื่อจะได้เป็นแนวนโยบายในการออกแบบให้ถูกวัตถุประสงค์ในการใช้สอยอาคารของเจ้าของ
| |
− |
| |
− | 2) ในระหว่างการวางผัง ซึ่งจะต้องมีการสำรวจเก็บข้อมูล วิเคราะห์ วิจัย เจ้าหน้าที่ผู้วางผังจะเข้าพบคณะที่ปรึกษาผังเมืองรวม ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานประกอบด้วยผู้แทนองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นผู้แทนส่วนราชการต่างๆและบุคคลอื่นๆ ซึ่งถือว่าคือส่วนหนึ่งของตัวแทนประชาชน เพื่อขอทราบแนวนโยบายและความต้องการของท้องถิ่น เมื่อวางผังเบื้องต้นเสร็จแล้วก็จะต้องนำผังนั้นไปปิดประกาศและประชุมรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชนไม่น้อยกว่า 1 ครั้งประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการช่วงนี้ได้โดยการเข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังและแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้วางผังก็จะนำความคิดเห็นและความต้องการต่างๆนั้นไปประมวลกับหลักวิชาการเพื่อพิจารณาจัดวางผังเมืองให้เหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นและความต้องการของชุมชนนั้นๆ
| |
− |
| |
− | 3) เมื่อวางผังเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะนำผังเสนอให้คณะกรรมการผังเมืองซึ่งมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อผังได้รับความเห็นชอบแล้วจะต้องนำผังไปปิดประกาศในท้องที่ที่ทำการวางผังเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน เพื่อให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปตรวจดูแผนผังและข้อกำหนดของผัง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารร้องขอให้แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมืองนั้นๆโดยทำเป็นหนังสือถึงกรมโยธาธิการและผังเมืองหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นผู้วางและจัดทำผังนั้น
| |
− |
| |
− | ประโยชน์ของการจัดการผังเมือง
| |
− |
| |
− | • ทำให้เมืองหรือชุมชนมีความสวยงามเจริญเติบโตอย่างมีระเบียบแบบแผนและถูกสุขลักษณะ
| |
− |
| |
− | • เพื่อวางแนวทางการพัฒนาเมืองหรือชุมชนให้มีระเบียบโดยวางผังโครงการคมนาคมและขนส่งให้สัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต
| |
− |
| |
− | • ทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการอยู่อาศัย
| |
− |
| |
− | • ส่งเสริมเศรษฐกิจของเมืองหรือชุมชน
| |
− |
| |
− | • ส่งเสริมสภาพแวดล้อมของเมืองหรือชุมชนให้มีที่โล่งเว้นว่าง มีสวนสาธารณะมีที่พักผ่อนหย่อนใจ
| |
− |
| |
− | • ดำรงรักษาสถานที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมประวัติศาสตร์และโบราณคดีบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและภูมิประเทศที่งดงามทั้งในเขตเมืองและชนบท
| |
− |
| |
− | ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
| |
− |
| |
− | 1. กรมโยธาธิการและผังเมือง ที่มาhttp://services.dpt.go.th/dpt_faqs/index.php?option=com_content&task=view&id=17&Itemid=27
| |
− |
| |
− | ==การบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน==
| |
− |
| |
− | 1.1 ประเภทของภัยพิบัติทางธรรมชาติและหลักปฏิบัติเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ
| |
− |
| |
− | 1.1.1 ลมฟ้าอากาศและพายุ
| |
− |
| |
− | เป็นชั้นบรรยากาศใกล้ผิวโลกซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศความเร็วลมความกดอากาศและปริมาณไอน้ำในอากาศโดยมีดวงอาทิตย์แหล่งพลังงานที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศเพราะดวงอาทิตย์ส่งพลังงานคลื่นสั้นผ่านชั้นบรรยากาศลงมาสู่ผิวโลกบางส่วนกระเจิงโดยโมเลกุลของก๊าซและฝุ่นละอองในบรรยากาศบางส่วนสะท้อนจากก้อนเมฆลงสู่ผิวดินบางส่วนถูกสะสมไว้ในดินทำให้ดินมีอุณหภูมิสูงขึ้นและในทางตรงกันข้ามผิวโลกอากาศเมฆไอน้ำต้นไม้ดินหิมะแหล่งน้ำก็มีการแผ่กระจายคลื่นช่วงยาวสู่บรรยากาศตลอดเวลาเช่นกันอย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศใกล้ผิวโลกที่เรียกว่าลมฟ้าอากาศจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆเช่นลักษณะอากาศระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่แล้วมาหรือลักษณะอากาศในระยะเวลาเวลา 1 ชั่วโมงข้างหน้า
| |
− |
| |
− | การปฏิบัติตน
| |
− |
| |
− | ๏รับฟังข่าวเตือนภัยเกี่ยวกับการเกิดและเส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุหมุนเขตร้อนจากกรมอุตุนิยมวิทยาที่มีการกระจายคำเตือนภัยอย่างรวดเร็วให้แก่ประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัย
| |
− |
| |
− | ๏ชุมชนและภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันสำรวจพื้นที่ต่างๆใกล้ชายฝั่งทะเลเพื่อก่อสร้างอาคารหลบภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยและกำหนดเส้นทางหนีภัยพื้นที่หลบภัยอย่างชัดเจนแผนฉุกเฉินตลอดจนฝึกซ้อมการอพยพหลบภัยตามแผนที่กำหนดเพื่อลดความตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง
| |
− |
| |
− | ๏อย่าออกเรือหลบอยู่ในที่ที่มีความมั่นคงตัดต้นไม้สูงที่ไม่แข็งแรงและอาจล้มทับบ้านได้และติดตั้งอุปกรณ์เสริมความแข็งแรงของหน้าต่าง
| |
− |
| |
− | ๏เตรียมเติมน้ำมันรถและสำรองอาหารถ่านไฟฉายอุปกรณ์ยังชีพและเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่เพราะอาจมีน้ำท่วมฉับพลัน
| |
− |
| |
− |
| |
− | 1.1.2 อุทกภัย
| |
− |
| |
− | ผลกระทบของภัยน้ำท่วมนอกจากจะสร้างความเสียหายและอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐทั้งที่ประเมินค่าได้และประเมินค่าไม่ได้ซึ่งจะคุกคามความเป็นอยู่และกระทบหลายด้านอย่างช้าๆได้แก่การกัดเซาะชายฝั่งการรุกล้ำของน้ำทะเลเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดินและน้ำจืดส่วนการประมงการท่องเที่ยวชายฝั่งและเกาะเล็กเกาะน้อยต่างๆต้องเสี่ยงภัยจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นบางส่วนอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ต้องมีการอพยพครั้งใหญ่การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมมีดังต่อไปนี้
| |
− |
| |
− | • การเตรียมตัวก่อนน้ำท่วม
| |
− |
| |
− | มีสองส่วนที่สำคัญที่ต้องดำเนินการพร้อมกันคือ ควรมีการเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าเพื่อคาดคะเนและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองและทรัพย์สินโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมซึ่งหมายถึงผู้ที่บ้านเรือนโดนน้ำท่วมประจำทุกปีหรืออยู่ในละแวกใกล้เคียงกับแม่น้ำลำคลองและพื้นที่น้ำท่วม ควรจัดทำแผนรับมือน้ำท่วมของครอบครัวเพื่อช่วยเตือนความจำจากความเร่งรีบความตื่นเต้นและคลายความกังวลจากภัยน้ำท่วมและปฏิบัติดังนี้
| |
− |
| |
− | 1) หากมีการเตือนการเฝ้าระวังน้ำท่วมติดตามการรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งซักซ้อมความเข้าใจกับครอบครัวเรื่องแผนในการรับมือน้ำท่วม
| |
− |
| |
− | 2) เตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพเช่นน้ำดื่มอาหารแห้งและอาหารกระป๋องยาวิทยุพกพาไฟฉายแบตเตอรี่สำรองสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเป็นต้นเพื่อใช้ขณะน้ำท่วมและหลังน้ำท่วมแต่อย่าพกพามากเกินไปเพราะอาจจะเป็นภาระในการอพยพและให้คิดว่า “ชีวิตสำคัญที่สุด”
| |
− |
| |
− | 3) เคลื่อนย้ายคนสัตว์เลี้ยงพาหนะให้พ้นระดับน้ำที่เคยท่วมมาก่อน
| |
− |
| |
− | 4) เรียนรู้ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นและสร้างทักษะความชำนาญแก่ครอบครัวเช่นหมายเลขโทรศัพท์สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเส้นทางการเดินทางการอพยพที่ปลอดภัยจุดนัดหมายหากเกิดการพลัดหลงระบบเตือนภัยของรัฐหรือติดตั้งอุปกรณ์ (กระสอบทรายแผ่นพลาสติกกาวซิลิโคนฯ)สำหรับป้องกันน้ำท่วมและน้ำไหลเข้าบ้านทางประตูห้องน้ำท่อช่องว่างของกำแพงและรอบรั่วต่างๆ
| |
− |
| |
− |
| |
− | • การเตรียมตัวระหว่างเกิดน้ำท่วม
| |
− |
| |
− | หากมีการเตือนน้ำท่วมและอยู่ในบริเวณพื้นที่น้ำท่วมปิดแก๊สและตัดสะพานไฟอุดปิดช่องต่างๆที่น้ำสามารถไหลเข้ามาได้เคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีค่าไปไว้ในที่สูงซักซ้อมความเข้าใจเรื่องการอพยพกับสมาชิกในครอบครัวอีกครั้งหากอยู่ในบ้านจงอยู่ในส่วนของอาคารที่แข็งแรงและอยู่ในที่สูงพ้นระดับน้ำที่เคยท่วมมาก่อนหากอพยพออกนอกบ้านจงล็อคประตูบ้านและอพยพโดยหลีกเลี่ยงการขับรถหรือการอพยพผ่านเส้นทางน้ำไหลระมัดระวังจากสัตว์มีพิษเช่นงูตะขาบแมงป่องที่มักหนีขึ้นมาอาศัยอยู่ตามบ้านเรือนและสถานที่เปียกชื้นอีกทั้งควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดอย่าปล่อยให้ออกไปเล่นน้ำเพราะในช่วงน้ำท่วมกระแสน้ำจะเชี่ยวกรากมากกว่าปกติอาจโดนกระแสน้ำพัดจมน้ำและเสียชีวิตได้
| |
− |
| |
− | หรือหากมีการเตือนน้ำท่วมฉับพลันซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าให้ดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้ซึ่งหากอยู่ใกล้ภูเขาให้อพยพขึ้นไปยังที่สูงหรือสถานที่ที่ปลอดภัยเช่นสถานที่หลบภัยของหน่วยงานซึ่งสามารถรู้ได้จากการรับฟังวิทยุท้องถิ่นโทรทัศน์หรือวิทยุพกพาที่ได้จัดเตรียมไว้หลีกเลี่ยงการขับรถเล่นน้ำหรืออพยพผ่านเส้นทางน้ำหลากตลอดจนติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิดส่วนบ้านเรือนที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมถึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะภัยน้ำท่วมอาจเกิดขึ้นบริเวณบ้านของคุณได้และปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น
| |
− |
| |
− | • การเตรียมตัวหลังน้ำท่วม
| |
− | หลังจากน้ำท่วมควรดูแลตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจของคุณและคนในครอบครัวเนื่องจากความเจ็บป่วยทางจิตใจ (ความเครียดและความวิตกกังวล) อาจใช้เวลาในการรักษานานกว่าทางกาย (บาดแผลต่างๆโรคน้ำกัดเท้าและผื่นคันโรคอุจจาระร่วงโรคตาแดง) ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องสุขอนามัยอีกทั้งการเก็บกวาดกำจัดทำลายและตรวจสอบความเสียหายของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยทั้งในบ้านและรอบบ้าน
| |
− |
| |
− | 1.1.3 แผ่นดินถล่ม
| |
− | ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้นจึงส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากในบริเวณภูเขาเนื่องจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดขึ้นในบริเวณทะเลจีนใต้และบริเวณทะเลอันดามันและจากพายุหมุนเขตร้อนทั้งจากพายุใต้ฝุ่นไซโคลนโซนร้อนและดิเปรสชั่นจนบางครั้งได้ก่อให้เกิดพิบัติภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากกล่าวคือเมื่อเกิดความแปรปวนของสภาพอากาศการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยตลอดจนภาวะโลกร้อนทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากจนกระทั่งดินชุ่มอิ่มตัวด้วยน้ำน้ำฝนส่วนใหญ่จึงไหลไปตามผิวดินลงสู่ทางน้ำและรวมตัวกันเป็นน้ำป่าไหลหลากส่วนดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและแรงยึดเกาะระหว่างเม็ดลดลงบางครั้งจึงเกิดการเลื่อนไหลของดินลงมาตามไหล่เขาโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงและมีชั้นดินปกคลุมหนาเกิดการเลื่อนไหลหรือถล่มพร้อมกันหลายจุดไหลปนไปกับน้ำพร้อมทั้งเศษซากไม้ทำให้ความรุนแรงของภัยพิบัติเพิ่มขึ้นเนื่องจากน้ำปนดินทรายดังกล่าวจะมีความหนาแน่นหรือค่าถ่วงจำเพาะเพิ่มขึ้นจึงมีพลังงานที่จะยกก้อนหินหรือสิ่งของขนาดใหญ่ให้ไหลลงมาพร้อมกับน้ำปนดินทรายดังกล่าวเมื่อปะทะกับสิ่งใดจึงสร้างความเสียหายมากกว่าน้ำท่วมธรรมดาซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นบริเวณกว้างหรือส่งผลกระทบหลายชุมชนพร้อมกัน
| |
− |
| |
− | ข้อสังเกตพื้นที่เสียงภัยดินถล่มมีดังนี้
| |
− |
| |
− | ๏ อยู่ใกล้ไหล่เขาที่มีความลาดชันสูงหรือมีรอยดินแยกบนไหล่เขา
| |
− |
| |
− | ๏ อยู่ในหุบเขาแคบๆที่มีทางน้ำไหลผ่าน
| |
− |
| |
− | ๏ เคยประสบเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก
| |
− |
| |
− | ๏ อยู่ใกล้ทางน้ำที่ไหลออกมาจากหุบเขาและเคยถูกน้ำท่วม
| |
− |
| |
− | ๏ พบตะกอนที่เกิดจากดินถล่มในอดีต
| |
− |
| |
− | ข้อควรปฏิบัติเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย
| |
− |
| |
− | เมื่อท่านมีเหตุจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมการเกิดดินถล่มการวางแผนหลบภัยและการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมรับภัยจะช่วยลดผลกระทบและทำให้ปลอดภัยจากพิบัติภัยดินถล่มได้การเรียนรู้ถึงพฤติกรรมการเกิดดินถล่มเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับชาวบ้านนักท่องเที่ยวและผู้มีความจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเนื่องจากก่อนเกิดดินถล่มมักจะมีสิ่งบอกเหตุที่ชาวบ้านทั่วไปสังเกตได้ง่ายเช่น
| |
− |
| |
− | ๏ ก่อนเกิดดินถล่มมักจะมีฝนตกหนักมาก (โดยทั่วไปจะมากกว่า100 มิลลิเมตร) หรือมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน (รวมกันได้มากกว่า 300 มิลลิเมตร)
| |
− |
| |
− | ๏ ระดับน้ำในทางน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ในบางกรณีระดับลดลงผิดปกติในขณะที่ฝนยังตกอยู่ (เกิดดินถล่มปิดเส้นทางน้ำ)
| |
− |
| |
− | ๏ สีของน้ำเปลี่ยนเป็นสีดินบนภูเขาและมีเศษซากต้นหญ้าและต้นไม้ลอยตามน้ำ
| |
− |
| |
− | ๏ มีเสียงดังผิดปกติในพื้นที่หุบเขาหรือในพื้นที่ต้นน้ำเสียงกิ่งไม้หักเสียงคล้ายฟ้าร้องหรือเหมือนเครื่องบินลง
| |
− |
| |
− | ๏ มีสัตว์ป่าวิ่งหนีเข้ามายังหมู่บ้าน
| |
− |
| |
− | 1.1.4 แผ่นดินไหว
| |
− |
| |
− | สำหรับประเทศไทยนั้นค่อนข้างโชคดีด้วยลักษณะภูมิประเทศและที่ตั้งของประเทศไม่ได้ตั้งอยู่แนวแผ่นดินไหวของโลกดังนั้นประเทศไทยจึงถูกจัดอยู่ในบริเวณที่มีภัยแผ่นดินไหวระดับต่ำจนถึงปานกลางซึ่งสามารถยืนยันจากข้อมูลในประวัติศาสตร์และสถิติอดีตที่ผ่านมาประมาณ 700-800 ปีประเทศไทยยังไม่เคยมีประวัติศาสตร์ความเสียหายรุนแรงจากแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ในประเทศอย่างไรก็ตามแม้ว่าไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศไทยแต่พบว่าแผ่นดินไหวขนาดระดับปานกลางระดับ 6.0ริคเตอร์ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงและไม่ได้ออกแบบสร้างให้ต้านทานต่อแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใกล้รอยเลื่อนที่มีพลังสำหรับประชาชนและชุมชนก่อนการเกิดแผ่นดินไหว
| |
− |
| |
− | ๏ ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉายและกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้านและให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน
| |
− |
| |
− | ๏ ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
| |
− |
| |
− | ๏ ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้านเช่นเครื่องดับเพลิงถุงทรายเป็นต้น
| |
− |
| |
− | ๏ ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำวาล์วปิดก๊าซสะพานไฟฟ้าสำหรับตัดกระแสไฟฟ้า
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้นหรือหิ้งสูงๆเมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้
| |
− |
| |
− | ๏ ผูกเครื่องใช้หนักๆให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน
| |
− |
| |
− | ๏ ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมายในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกันเพื่อมารวมกันอีกครั้งในภายหลัง
| |
− |
| |
− | ๏ สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวระหว่างเกิดแผ่นดินไหว
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าตื่นตกใจพยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้านถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้านเพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้านอย่าใช้เทียนไม้ขีดไฟหรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกาย
| |
− | ไฟเพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น
| |
− |
| |
− | ๏ ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่งเพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ในอาคารสูงควรตั้งสติให้มั่นและรีบออกจากอาคารโดยเร็วหนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ในที่โล่งแจ้งให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้าต้นไม้ป้ายโฆษณาและสิ่งห้อยแขวนต่างๆที่ปลอดภัยภายนอกคือที่โล่งแจ้ง
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ในบ้านให้ยืนหรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรงที่สามารถรับน้ำหนักได้มากและให้อยู่ห่างจากประตูระเบียงและหน้าต่าง
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ในโรงเรียนประกาศอย่าตื่นตระหนกใช้มือประสานศีรษะมุดใต้โต๊ะเก้าอี้เมื่อความสั่นสะเทือนหยุดทยอยออกมาสู่ที่โล่ง
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ในรถให้จอดรถเมื่อสามารถจอดได้อย่างปลอดภัยและจอดในที่ซึ่งไม่มีของหล่นใส่อยู่ห่างจากอาคารต้นไม้ทางด่วนสะพานลอยเชิงเขาเป็นต้น
| |
− |
| |
− | ๏ หากอยู่ในเรือความสั่นสะเทือนเนื่องจากแผ่นดินไหวไม่ทำอันตรายผู้อาศัยอยู่บนเรือกลางทะเลยกเว้นในกรณีเกิดสึนามิเรือที่อยู่ใกล้ชายฝั่งจะได้รับความสียหายให้นำเรือออกสู่ทะเลลึก
| |
− |
| |
− | ๏ หากติดอยู่ในซากอย่าติดไฟอยู่อย่างสงบเคาะท่อฝาผนังเพื่อเป็นสัญญาณต่อหน่วยช่วยชีวิตช่วยเหลือซึ่งกันและกันและให้กำลังใจต่อกันหลังเกิดแผ่นดินไหว
| |
− |
| |
− | ๏ ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน
| |
− |
| |
− | ๏ ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันทีเพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้
| |
− |
| |
− | ๏ ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอเพราะอาจมีเศษแก้วหรือวัสดุแหลมคมอื่นๆและสิ่งหักพังแทง
| |
− |
| |
− | ๏ ตรวจสายไฟท่อน้ำท่อแก๊สถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊สยกสะพานไฟอย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว
| |
− |
| |
− | ๏ ตรวจสอบว่าแก๊สรั่วด้วยการดมกลิ่นเท่านั้นถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน
| |
− |
| |
− | ๏ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาดและวัสดุสายไฟพาดถึง
| |
− |
| |
− | ๏ เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉินอย่าใช้โทรศัพท์นอกจากจำเป็นจริงๆ
| |
− |
| |
− | ๏ สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วมและท่อน้ำทิ้งก่อนใช้
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูงหรืออาคารพัง
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าแพร่ข่าวลือ
| |
− |
| |
− | 1.1.5 สึนามิ
| |
− |
| |
− | แผ่นดินไหวในท้องทะเลที่เกิดขึ้นบางครั้งได้ก่อให้เกิดการยกตัวของพื้นทะเลขึ้นหลายเมตรและทำให้น้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลหรือน้ำในแม่น้ำลำคลองปริมาณมากเคลื่อนตัวอย่างทันทีทันใดด้วยความสูงที่มากกว่าระดับน้ำปกติหรือที่เรียกว่า “สึนามิ” ซึ่งเป็นกลุ่มของคลื่นขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่พื้นที่บริเวณชายฝั่งและเมื่อสึนามิซัดเข้าชายฝั่งยังให้เกิดความเสียหายแก่โครงสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภคที่อยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นอย่างมากสึนามิยังสามารถเกิดได้จากการชนของอุกาบาตได้เช่นเดียวกันคลื่นสึนามิจะไม่เกิดเพียงระลอกเดียวและคลื่นลูกหลังอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าลูกแรกข้อควรสังเกตคือเมื่อน้ำทะเลลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติสึนามิที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบได้ทั้งในระยะใกล้ซึ่งมีเวลาในการเตือนล่วงหน้าค่อนข้างน้อยอย่างเช่นที่ฮาวายสหรัฐอเมริกาและที่ฟุกุชิมะประเทศญี่ปุ่น (2554) และสึนามิที่เกิดและส่งผลกระทบพื้นที่จากระยะไกลซึ่งสามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้ถึงประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเช่นสึนามิใน 6 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย (2547)ความเสียหายของพื้นที่เสียงภัยสึนามิมีดังนี้ฐานรากของอาคารฐานรากของอาคารที่อยู่ริมทะเลส่วนใหญ่เป็นฐานรากแผ่เมื่อเกิดการกัดเซาะของดินใต้ฐานรากจะทำให้ฐานรากลอยทำให้เกิดการถ่ายแรงภายในของโครงสร้างใหม่โดยอาจทำให้เกิดความเสียหายกับโครงสร้างทั้งโครงสร้างได้องค์ประกอบหลักของโครงสร้างอาคารจากการสำรวจพบว่าเสาที่มีหน้าตัดขนาดเล็กเช่นหน้าตัด 150 มม. x150 มม. มักจะวิบัติที่ระดับสูงประมาณ 2.5 ม.หรือมากกว่านั้นและโครงสร้างส่วนมากมีจุดต่อที่ไม่ดีและมีการทาบเหล็กที่ระดับเดียวกัน 100 %ระยะทาบไม่เพียงพอและเกิดการวิบัติกับอาคารตรงจุดต่อที่ไม่สามารถต้านแรงดัดได้อีกทั้งเสาอาคารในชั้นล่างที่เปิดโล่งมีโอกาสที่ถูกสิ่งที่ลอยมาตามน้ำกระแทกทำให้เกิดการพังทลายได้ท่าเรือความเสียหายที่ปรากฏนอกจากความเสียหายของคานและเสาแล้วยังพบว่าแผ่นพื้นที่เป็นพื้นสำเร็จรูปถูกยกให้หลุดมาจากจุดยึดต่อกับคานและลอยไปกับคลื่นซึ่งก่อให้เกิดอันตรายกับสิ่งก่อสร้างและผู้คนที่อยู่บนฝั่ง
| |
− | สะพานความเสียหายที่ปรากฏแบ่งเป็น 2 ลักษณะแบบแรกคือแผงกั้นล้มเพราะแรงดันน้ำที่ไหลขึ้นมาตามทางน้ำและแบบที่สองคือการกัดเซาะที่ตอหม้อริมซึ่งเกิดกับสะพานที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ
| |
− |
| |
− | ข้อควรปฏิบัติ
| |
− |
| |
− | ๏ ตรวจสอบพื้นที่ที่ตนเองอยู่อาศัยว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยหรือไม่หากใช่ควรศึกษาถึงเส้นทางอพยพและพื้นที่หลบภัยสร้างความคุ้นเคยกับป้ายสัญญาณเตือนภัยหรือเส้นทางเตรียมอุปกรณ์ยังชียไฟฉายและวิทยุแบบใช้แบตเตอรี่
| |
− |
| |
− | ๏ เมื่อได้รับสัญญาณเตือนภัยหากอยู่ในเรือที่บริเวณใกล้ชายฝั่งให้ออกเรือไปยังน้ำลึกทันที
| |
− |
| |
− | ๏ เมื่อได้รับสัญญาณเตือนภัยหากอยู่บริเวณชายหาดให้รีบขึ้นสู่ที่สูงในบริเวณทันที
| |
− |
| |
− | ๏ ควรอพยพด้วยการเดินเร็วมากกว่าการใช้ยานพาหนะ
| |
− |
| |
− | ๏ ฟังข่าวสารทางวิทยุโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องและกลับเข้าสู่ที่พักอาศัยเมื่อมีประกาศจากทางราชการเท่านั้นว่าปลอดภัย
| |
− |
| |
− | 1.1.6 คลื่นความร้อน
| |
− |
| |
− | คลื่นความร้อน (Heat Wave) กรมอุตุนิยมวิทยาได้นิยามว่าคือการที่อากาศอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหรือการเคลื่อนตัวของอากาศที่ร้อนจัดเข้าสู่บริเวณกว้างอีกทั้งกรมอุตุนิยมวิทยาได้กำหนดเกณฑ์อากาศร้อนอุณหภูมิตั้งแต่ 35.0-39.9 องศาเซลเซียสและอากาศร้อนจัดอุณหภูมิตั้งแต่ 40.0องศาเซลเซียสขึ้นไปคลื่นความร้อนเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยและยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่แต่มีแนวโน้มเป็นไปได้มากที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเพราะความชื้นจากทะเลจะพัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยอีกทั้งในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นระยะเวลาที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์โดยเฉพาะเดือนเมษายนซึ่งดวงอาทิตย์อยู่เกือบตรงศีรษะในเวลาเที่ยงวันทำให้ประเทศไทยได้รับความเดือดร้อนจากดวงอาทิตย์เต็มที่บางครั้งยังมีหย่อมความกดอากาศต่ำจากความร้อนปกคลุมการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในแต่ละปีและปีใดที่มีปรากฎการณ์แอลนีโญเกิดขึ้นก็จะเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้นและในแต่ละวันอุณหภูมิของเวลา13.00 – 16.00 น. ของแต่ละวันเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของวันโดยเฉพาะช่วงเวลา 14.00 น. เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดคลื่นความร้อนที่มากับอากาศร้อนสูงมีผลต่อการไหลเวียนของเลือดในร่างกายและร่างกายต้องทำงานหนักมากเพื่อจัดการกับอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติด้วยการพาความร้อนออกจากร่างกายจะมีอาการหอบหรือใจสั่นเมื่อเลือดมีความร้อนสูงกว่า 37 องศาเซลเซียสความร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายเพื่อรับการไหลของเลือดที่เพิ่มมากขึ้นเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังก็จะระบายความร้อนที่เกินไปยังบรรยากาศที่เย็นกว่าขณะที่น้ำซึมผ่านผิวหนังตอนที่เหงื่อออกถ้าความชื้นสูงก็จะทำให้การระเหยของเหงื่อช้าลงซึ่งอาจทำให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายล้มเหลวจนถึงเสียชีวิตได้ความเสี่ยงสูงสุดของความร้อนที่สัมพันธ์กับความเจ็บป่วยที่มีผลต่อมนุษย์ได้แก่
| |
− |
| |
− | 1. เด็กแรกเกิดถึงอายุ 4 ขวบ
| |
− |
| |
− | 2. คนที่มีอายุ 65 ปีหรือมากกว่า
| |
− |
| |
− | 3. คนอ้วนหรือคนที่มีน้ำหนักตัวมาก
| |
− |
| |
− | 4. คนที่ออกแรงมากในขณะทำงานหรือออกกำลังกาย
| |
− |
| |
− | 5. คนป่วยหรือผู้ทานยาเป็นประจำ
| |
− |
| |
− |
| |
− | ข้อควรปฏิบัติเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย
| |
− |
| |
− | 1.) หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีแสงอาทิตย์มากเกินไปหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้กำลังมากและทำกิจกรรมให้ช้าลงแต่ถ้าต้องการกิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้นควรทำในช่วงเวลาที่อากาศเย็นที่สุดของซึ่งปกติจะอยู่ช่วง
| |
− | เช้า 4.00-7.00 น.
| |
− |
| |
− | 2.) หลีกเลี่ยงการทำให้เกิดอุณหภูมิสูงสุดของร่างกายการเย็นลงของร่างกายจากการอาบน้ำทันทีทันใดภายหลังจากการที่กลับเข้ามาจากภายนอกบ้านที่มีอุณหภูมิร้อนโดยเฉพาะในผู้สูงอายุและเด็ก
| |
− |
| |
− | 3.) ประหยัดไฟฟ้าในที่ไม่ต้องการและทำให้อากาศเย็นระหว่างช่วงเวลาที่ร้อนมากซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้าจำนวนมากกว่าปกติเพื่อใช้กับเครื่องปรับอากาศเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอ
| |
− |
| |
− | 4.) น้ำเป็นของเหลวที่ปลอดภัยที่สุดสามารถดื่มระหว่างที่มีเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับความร้อนที่เกิดขึ้นหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือสิ่งที่มีคาเฟอีนซึ่งจะทำให้รู้สึกดีขึ้น
| |
− |
| |
− | 5.) การกินอาหารน้อยๆกินบ่อยๆและกินอาหารมากจะทำให้ย่อยยากและเป็นสาเหตุเพิ่มความร้อนภายในร่างกายเพื่อช่วยย่อยอาหารที่กินไปควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูงเช่นเนื้อวัวถั่ว
| |
− |
| |
− | 6.) อย่างทิ้งเด็กและสัตว์เลี้ยงไว้ตามที่สาธารณะต่างๆถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 57.2 องศาเซลเซียสมากกว่า 10 นาทีก็จะทำให้เด็กและสัตว์เลี้ยงเสียชีวิตได้
| |
− |
| |
− | 7.) โดยทั่วไปการรักษาสำหรับกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับความร้อนคือทำให้ร่างกายเย็นลงโดยให้ดื่มเครื่องดื่มและให้มีอาการช็อกเกิดขึ้นน้อยที่สุด
| |
− |
| |
− | 1.1.7 ภัยแล้ง
| |
− |
| |
− | ภัยแล้งของประเทศไทยเกิดขึ้นทุกปีส่วนใหญ่เกิดจากฝนแล้ง10 และฝนทิ้งช่วง11 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่พืชไร่ที่เพาะปลูกไว้สัตว์มนุษย์ฯซึ่งภัยแล้งคือภัยที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานานจนก่อให้เกิดความแห้งแล้งและส่งผลกระทบต่อชุมชนประเด็นที่จะต้องระวังคือปัญหาด้านสังคมอาทิเช่นปัญหาการพิพาทกันในเรื่องแย่งน้ำทั้งระหว่างเกษตรกรด้วยกันเองและปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในบางพื้นที่รวมทั้งปัญหาในเรื่องที่ชาวนาบางส่วนต้องซื้อน้ำหรือสูบน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อไม่ให้ข้าวที่ปลูกไปแล้วเสียหายส่งผลให้ต้นทุนการผลิตข้าวนาปรังมีแนวโน้มสูงขึ้นนอกจากนี้สินค้าเกษตรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นคือปศุสัตว์และประมงส่วนความเสียหายและผลกระทบในด้านอื่นๆเช่นผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทำให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติตื้นเขินระดับน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลงเกิดการกัดเซาะของหน้าดินและการทิ้งร้างที่ดิน, ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจเช่นจำนวนและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรต่ำทำให้ราคาผลผลิตลดลง, ผลกระทบทางด้านสังคมเกิดการละทิ้งถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่คุณภาพชีวิตลดลงและเกิดความขัดแย้งในการใช้น้ำ
| |
− |
| |
− | ข้อควรปฏิบัติ
| |
− |
| |
− | ๏ เตรียมเก็บน้ำสะอาดเพื่อการบริโภคให้เพียงพออย่ารีรอ
| |
− |
| |
− | ๏ ขุดลอกคูคลองและบ่อน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ำเพียงพอต่อครัวเรือน
| |
− |
| |
− | ๏ วางแผนการใช้น้ำอย่างประหยัดทั้งเพื่อการบริโภคและเพื่อการเกษตรและควรใช้น้ำในช่วงเช้าและเย็นเพื่อลดอัตราการระเหยของน้ำ
| |
− |
| |
− | ๏ กำจัดวัสดุเชื้อเพลิงรอบที่พักเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าและการลุกลาม
| |
− |
| |
− | ๏ เตรียมเบอร์โทรศัพท์หมายเลขฉุกเฉินต่างๆหากพบเห็นการเกิดไฟป่าเนื่องจากภาวะแห้งแล้งให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่
| |
− |
| |
− | 1.1.8 ไฟป่า
| |
− |
| |
− | “ไฟป่า” คือไฟที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอันใดก็ตามแล้วลุกลามไปได้โดยอิสระปราศจากการควบคุมทั้งนี้ไม่ว่าไฟนั้นจะเกิดขึ้นในป่าธรรมชาติหรือสวนป่าซึ่งมีองค์ประกอบของไฟป่าคือเชื้อเพลิงหรือวัตถุที่เป็นอินทรีย์สารต่างๆเช่นต้นไม้กิ่งไม้ไม้พุ่มใบไม้กอไผ่และวัชพืชเป็นต้นอากาศซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนในอากาศและความร้อนซึ่งแบ่งออกเป็น2 ประเภทคือแหล่งความร้อนจากธรรมชาติและจากมนุษย์ชนิดของไฟป่าสามารถจำแนกได้เป็น 3 ชนิดตามลักษณะของเชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้ดังนี้
| |
− |
| |
− | • ไฟใต้ดินเป็นไฟที่ไหม้อินทรียวัตถุที่สะสมอยู่ในดินไฟชนิดนี้จะลุกลามใต้ผิวดินอย่างช้าๆตรวจพบยากที่สุดสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่ป่าไม้มากที่สุดแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อยคือ
| |
− | - ไฟใต้ดินสมบูรณ์แบบ
| |
− | - ไฟกึ่งผิวดินกึ่งใต้ดิน
| |
− |
| |
− | • ไฟผิวดินเป็นไฟที่ลุกลามไปตามพื้นป่าไฟชนิดนี้มีการลุกลามอย่างรวดเร็วไฟป่าที่เกิดขึ้นในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นไฟชนิดนี้
| |
− |
| |
− | • ไฟเรือนยอดเป็นไฟที่ลุกลามไปตามเรือนยอดของต้นไม้โดยเฉพาะในป่าสนไฟเรือนยอดมีความรุนแรงและอันตรายมากยากต่อการควบคุมข้อควรปฏิบัติ
| |
− |
| |
− | ข้อควรปฏิบัติ
| |
− |
| |
− | ๏เมื่อพบเห็นไฟป่าต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบทันทีไฟป่าหากรีบดับโดยเร็วจะไม่ลุกลามอย่างกว้างขวางไฟป่าสามารถลุกลามข้ามถนนเมื่อมีลมแรงดังนั้นการดับไฟต้องอยู่เหนือลมอย่าลังเลที่จะหนีภัยเพราะอาจจะถูกเพลิงล้อมได้และฟังข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
| |
− |
| |
− | ๏เตือนประชาชนที่อาศัยตามแนวชายป่าให้ร่วมกันป้องกันไฟป่าด้วยการเก็บกวาดใบไม้กิ่งไม้และวัชพืชให้เป็นแนวโล่งเตียนเพื่อกำจัดเชื้อเพลิงเกษตรกรควรดูแลพื้นที่การเกษตรโดยหมั่นตัดหญ้าเก็บกวาดใบไม้แห้งอย่าปล่อยให้กองสุมเพราะหากเกิดไฟไหม้จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีทำให้ไฟปะทุมากขึ้นสำหรับการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกให้ใช้การกลบแทนการเผาหากจำเป็นต้องจุดไฟเผาในพื้นที่การเกษตรต้องทำแนวกันไฟและควบคุมการเผาอย่างใกล้ชิด
| |
− |
| |
− | ๏สร้างแนวกันไฟ (Firebreaks) เพื่อลดความรุนแรงของไฟป่าไม่ให้เกิดจากพื้นที่ด้านหนึ่งลุกลามเข้าไปอีกด้านหนึ่งกล่าวคือเป็นการป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามออกมาจากพื้นที่ที่กำหนดซึ่งแนวกันไฟจะทำเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเกิดไฟป่าและแตกต่างจากแนวดับไฟ(Fire line) ซึ่งจะทำในขณะที่กำลังเกิดไฟไหม้และทำขึ้นเพื่อการดับไฟทางอ้อม (Indirect attach) หรือทำเพื่อการดับไฟด้วยไฟ (Back firing)
| |
− |
| |
− | ๏นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวป่าควรศึกษาวิธีการก่อกองไฟและควรเพิ่มความระมัดระวังในการจุดไฟหากต้องการก่อกองไฟให้ความอบอุ่นหรือหุงต้มอาหารต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังใช้งานเสร็จแล้วเพื่อป้องกันการลุกลามของไฟและเตรียมน้ำสำหรับดับไฟรวมทั้งไม่ควรจุดไฟใกล้บริเวณแนวป่าอย่างเด็ดขาดห้ามทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพงหญ้าแห้ง
| |
− |
| |
− | 1.1.9 อัคคีภัย
| |
− |
| |
− | วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเพลิงไหม้ซึ่งมี 10 ขั้นตอนคือ
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 1 ก่อนเข้าพักในอาคารควรศึกษาเรื่องตำแหน่งบันไดหนีไฟเส้นทางหนีไฟทางออกจากตัวอาคารการติดตั้งอุปกรณ์ระบบ Sprinkle และอุปกรณ์อื่นๆรวมทั้งต้องอ่านคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยจากเพลิงไหม้และการหนีไฟอย่างละเอียด
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 2 ขณะที่อยู่ในอาคารควรหาทางออกฉุกเฉินสองทางที่ใกล้ห้องพักตรวจสอบดูว่าทางออกฉุกเฉินไปปิดล๊อคตายหรือมีสิ่งกีดขวางและสามารถใช้เป็นเส้นทางออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัยตลอดจนนับจำนวนประตูห้องโดยเริ่มจากห้องท่านไปยังทางออกฉุกเฉินทั้งสองทางเพื่อไปถึงทางออกฉุกเฉินได้แม้ว่าไฟฟ้าจะดับหรือปกคลุมไปด้วยควันไฟ
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 3 วางกุญแจห้องพักและไฟฉายไว้ใกล้กับเตียงนอนถ้าเกิดเพลิงไหม้จะได้นำกุญแจห้องและไฟฉายไปด้วยอย่ามัวเสียเวลากับการเก็บสิ่งของรวมถึงควรเรียนรู้และฝึกเดินภายในห้องพักในความมืดบ้าง
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 4 หาตำแหน่งสัญญาณเตือนเพลิงไหม้แล้วเปิดสัญญาณเตือนเพลิงไหม้จากนั้นหนีออกจากอาคารพร้อมโทรศัพท์เรียกหน่วยดับเพลิงทันที
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 5 ให้หนีออกมาแล้วปิดประตูห้องทันทีรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ดูแลอาคารเพื่อโทรศัพท์แจ้งหน่วยดับเพลิง
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 6 ก่อนจะหนีออกมาให้วางมือบนประตูหากประตูมีความเย็นอยู่ค่อยๆเปิดประตูแล้วหนีไปยังทางหนีไฟฉุกเฉินที่ใกล้ที่สุด
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 7 ประตูจะมีความร้อนห้ามเปิดประตูเด็ดขาดให้โทรศัพท์เรียกหน่วยดับเพลิงและแจ้งให้ทราบว่าท่านอยู่ที่ใดของเพลิงไหม้หาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำให้เปียกปิดทางเข้าของควันปิดพัดลมและเครื่องปรับอากาศพร้อมส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือที่หน้าต่าง
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 8 ให้ปิดจมูกและปากด้วยผ้าชุ่มน้ำเพื่อป้องกันการสำลักควันคลานตัวไปให้ต่ำกว่าควันไฟพยายามทำตัวให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะควันจะลอยอยู่บ้านบนและอากาศบริสุทธิ์จะอยู่ด้านล่าง (เหนือพื้นห้อง) ถ้าเสื้อผ้าติดไฟให้หยุดนอนลงและกลิ้งตัวไปมาให้ไฟดับ
| |
− |
| |
− | ขั้นตอนที่ 9 พยายามมองหาทางหนีไฟห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาดขณะเกิดเพลิงไหม้และไม่ควรใช้บันไดภายในอาคารหรือบันไดเลื่อนเนื่องจากบันไดเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันควันไฟและเปลวไฟได้ให้ใช้บันไดหนีไฟภายในอาคารเท่านั้น
| |
− |
| |
− | การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บจากไฟไหม้เบื้องต้น
| |
− |
| |
− | 1.) ใช้น้ำสะอาดราดรดหรือแช่ผู้บาดเจ็บจากไฟลวกเพื่อลดความเจ็บปวดของบาดแผลและหยุดการทำลายจากความร้อน
| |
− |
| |
− | 2.) หากผู้บาดเจ็บสวมแหวนนาฬิกากำไลซึ่งสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานานให้รีบถอดออกเพราะบริเวณที่ถูกความร้อนจะเกิดอาการบวม
| |
− |
| |
− | 3.) ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลถ้าหาไม่ได้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปลอกหมอนหรือผู้ปูที่นอนพันบาดแผลไว้และรีบนำส่งโรงพยาบาล
| |
− |
| |
− | 4.)โรคระบาดเป็นภัยประเภทหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมากรวมถึงเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมจิตวิทยาและความมั่นคงของประเทศอย่างรุนแรงโดยเฉพาะการระบาดใหญ่จากการ
| |
− | ติดต่อในคนสู่คนผ่านโรคติดต่อทางอาหารและน้ำซึ่งเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไปเช่นอาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆหรืออาหารที่มีแมลงวันตอมหรืออาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืนโดยไม่ได้แช่เย็นไว้และไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน
| |
− |
| |
− | วิธีการปฏิบัติตนเองในการป้องกันการติดเชื้อจากโรคระบาด
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าตระหนกตกใจจนเกินเหตุไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009และไข้หวัดใหญ่ทั่วไปติดต่อถึงกันได้ง่ายๆแต่จะแพร่เชื้อได้ก็ต่อเมื่อใกล้ชิดกับคนที่มีอาการเท่านั้นดังนั้นเราควรเป็นหูเป็นตาหากพบผู้ใกล้ชิดมีอาการเบื้องต้นคือ
| |
− | มีไข้สูงปวดเมื่อยตามตัวปวดศีรษะไอจามให้รีบพาไปพบแพทย์และลางานหรือหยุดเรียนเป็นการชั่วคราวเพื่อพักผ่อนและรักษาตัวให้หายเป็นปกติเพื่อเป็นการจำกัดวงจรการแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่น
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าไปอยู่ในที่ซึ่งแออัดช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเราควรหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดเป็นเวลานานๆเพราะสถานที่แออัดต้องเบียดเสียดกันเพราะเมื่อมีคนไอหรือจามเชื้อโรคมีโอกาสเข้าสู่จมูกของเราได้ง่าย
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าเอามือสัมผัสตาจมูกปากซึ่งเป็นจุดเสี่ยงในการติดเชื้อสำหรับคนที่ชอบเอามือขยี้ตาและแคะจมูกรวมทั้งชอบกัดเล็บควรหยุดพฤติกรรมดังกล่าวทันทีเนื่องจากมือเป็นอวัยวะที่ไปหยิบจับสิ่งต่างๆมากมายจึงเป็นแหล่งสะสม
| |
− | ของเชื้อโรคนานาชนิดหากเอามือมาสัมผัสตาขมูกปากเชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเราจึงต้องระมัดระวัง
| |
− |
| |
− | ๏ อย่าลืมล้างมือทุกครั้งให้สะอาดการหมั่นล้างมือบ่อยๆเพื่อเป็นการเสริมสุขลักษณะนิสัยที่ดีในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยห่างไกลจากเชื้อโรคต่างๆ
| |
− |
| |
− |
| |
− | 1.2 คุณลักษณะพิเศษของภัยพิบัติ
| |
− | 1.) ภัยหลักก่อให้เกิดภัยอื่นที่ตามมา (Compound Hazard)
| |
− | นั่นคือเวลาที่ภัยเกิดขึ้นนั้นสามารถที่จะก่อให้เกิดภัยประเภทอื่นตามมาซึ่งในบางครั้งภัยที่เกิดตามมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าหรือในบางครั้งภัยที่ตามมานั้นจะต้องใช้วิธีการในการจัดการที่ตรงข้ามกับภัยแรกเช่นการเกิดแผ่นดินไหวและเกิดสึนามิตามมาดังที่เราทราบว่าในการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลที่ใกล้กับแผ่นดินนั้นสร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนได้เมื่อเราอพยพคนออกมาได้ปลอดภัยอยู่นอกอาคารหากมีสึนามิเกิดขึ้นต้องหาทางอพยพคนออกจากที่โล่งบริเวณใกล้ชายหาดกลับขึ้นที่สูงและผลจากสึนามิอาจทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นได้หากไม่มีการจัดการที่ดีจะเห็นได้ว่าความเข้าใจในลักษณะพิเศษข้อนี้ของท้องถิ่นจะช่วยให้สามารถรับมือกับการขยายตัวของภัยด้วยตัวภัยเดิมและการเกิดขึ้นของภัยต่อเนื่องอีกด้วย
| |
− |
| |
− | 2.) ภัยพิบัติสามารถเพิ่มความรุนแรงได้หากระดับของความอ่อนไหวของชุมชนมีสูง (Level of Community Vulnerability)
| |
− | นั่นคือหน่วยงานท้องถิ่นต้องมีความเข้าใจในมิติทางกายภาพและมิติทางสังคมของพื้นที่และชุมชนเพราะหากพื้นที่มีความเสี่ยงต่อภัยสูงการปรึกษาหารือกับภาคส่วนต่างๆในการป้องกันและเตรียมรับมือจะต้องมีรายละเอียดเชิงโครงสร้างเข้ามาเกี่ยวข้องและมิติทางด้านสังคมคือจำนวนกลุ่มคนที่ถือว่าอ่อนไหวต่อภัยอันได้แก่เด็กสตรีและคนชราอันจะทำให้แผนในการอพยพหรือการจัดปัจจัยในการจัดการที่หลบภัยและการฟื้นฟูแตกต่างกันออกไป
| |
− |
| |
− | 3.) ภัยพิบัติสามารถขยายผลสู่พื้นที่ต่างๆในวงกว้างและเป็นพื้นที่ที่ข้ามเขตการปกครองของหน่วยงาน (Cross Juridiction)
| |
− | ดังนั้นในการวางแผนหรือกำหนดมาตรการในการจัดการภัยพิบัตินั้นต้องทำร่วมกับหน่วยงานหลักของพื้นที่ข้างเคียงเสมอทั้งในกรณีของการขยายตัวของภัยและกรณีที่ต้องการกำลังเสริมจากพื้นที่ข้างเคียง
| |
− |
| |
− | 4.) ภัยพิบัติไม่มีความแน่น่อน (Uncertainty)
| |
− | กล่าวคือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากภัยต่างๆนั้นอาจมีรูปแบบที่ไม่ซ้ำเดิมอาจมีความรุนแรงที่มากขึ้นและมีความถี่สูงขึ้นและอาจเกิดขึ้นในเงื่อนไขเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นพายุนอกฤดูหรือการเกิดแผ่นดินไหวกลางดึกหรือการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในระดับที่รุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนคุณลักษณะข้อนี้จะส่งผลให้หน่วยงานท้องถิ่นจะต้องปรับปรุงมาตรการรับมือตลอดเวลาเพื่อให้ทันสมัยต่อองค์ความรู้ที่เปลี่ยนแปลงและเพื่อให้ทันต่อความผันผวนของสถานการณ์
| |
− |
| |
− | 5.) ภัยพิบัติจะก่อให้เกิดความโกลาหล (Chaos)
| |
− |
| |
− | เพราะในสถานการณ์ที่ไม่ปรกติอย่างเช่นในภัยพิบัตินั้นจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับความเสียหายมากมายหลายกลุ่มประกอบกับผู้ที่เข้าจัดการให้ความช่วยเหลือก็จะมากหน้าหลายตาเช่นเดียวกันดังนั้นความซับซ้อนและสับสนในการปฏิบัติการจะสูงทั้งในด้านกายภาพที่ผิดปรกติจนอาจไม่สามารถระบบตำแหน่งแห่งที่ได้มีอุปสรรคทางด้านพื้นที่เช่นสะพานขาดดินถล่มน้ำท่วมทางสัญจรและยังมีจำนวนหน่วยงานทรัพยากรของบริจาคและเจ้าหน้าที่จำนวนมากอันสามารถก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ในที่สุด
| |
− |
| |
− | 1.3 กระบวนการจัดการภัยพิบัติ
| |
− |
| |
− | 1. )การดำเนินการก่อนเกิดภัยเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากสาธารณภัย (mitigation and preparedness)
| |
− |
| |
− | การให้ความรู้เรื่องภัยและการปฏิบัติตนด้วยการฝึกอบรมและสื่อชนิดต่างๆการวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละภัยและแต่ละพื้นที่การจัดทำแบบจำลองสถานการณ์การจัดทำแผนที่อพยพการระบุพื้นที่ปลอดภัยและการจัดทำแผนการจัดการหลบภัยการฝึกซ้อมรูปแบบต่างๆในการอพยพการเตือนภัยและการอพยพก่อนการเกิดภัย
| |
− | ในการจัดการภัยพิบัตินั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเอาใจใส่ขั้นตอนก่อนเกิดภัยให้มากที่สุดด้วยเหตุว่าหากความสามารถและศักยภาพของท้องถิ่นในการรับมือมีสูงผลกระทบจะสามารถลดลงได้อย่างเห็นได้ชัดเช่นดังที่จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันพยายามให้ความรู้และเตรียมพร้อมในเรื่องสึนามิและพายุก็จะส่งผลให้การปลูกสร้างอาคารและการสังเกตภัยช่วยให้ความเสียหายและความสูญเสียลดลงได้ซึ่งเครื่องมือในการเตรียมพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติมีดังนี้
| |
− |
| |
− | ๏ การให้ความรู้เรื่องภัยและการปฏิบัติตนด้วยการฝึกอบรมและสื่อชนิดต่างๆองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่โดยตรงในการจัดการเรื่องความรู้และฝึกอบรมทักษะเรื่องภัยพิบัติ
| |
− |
| |
− | ๏ การวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละภัยและแต่ละพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์และประมินความเสี่ยงของพื้นที่ของตนเองต่อภัยประเภทต่างๆเพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำแผนและควบคุมบัญชาการสถานการณ์ในพื้นที่
| |
− |
| |
− | ๏ การจัดทำแบบจำลองสถานการณ์การจัดทำแผนที่อพยพสืบเนื่องจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงข้างต้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีข้อมูลของความเสี่ยงต่อภัยแต่ละประเภทตามลำดับความสำคัญและรุนแรงทั้งนี้มาตรการที่นำออกใช้ก็เพื่อรับมือกับสถานการณ์นั้นๆหากแต่ว่าต้องนำมาวางแผนดำเนินการต่อซึ่งเครื่องมือที่สำคัญคือการทำแบบจำลองสถานการณ์และการทำแผนอพยพด้วยเหตุว่าถึงแม้จะมีมาตรการในการจัดการกับความเสี่ยงให้ส่งผลกระทบให้น้อยลงก็ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ที่รุนแรงจะไม่เกิดขึ้นดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจะดำเนินการดังนี้
| |
− |
| |
− | ๏ การฝึกซ้อมรูปแบบต่างๆในการอพยพการจัดการภัยพิบัติมีความพิเศษกว่าการจัดการสาธารณะในรูปแบบอื่นตรงที่สามารถมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงและใช้เป็นฐานในการสร้างแบบจำลองสถานการณ์แล้วนำมาทำการฝึกซ้อมก่อนล่วงหน้าซึ่งจะช่วยทำให้การจัดการด้านนี้นั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อควรระวังของการฝึกซ้อมคือเมื่อใดก็ตามที่การฝึกซ้อมตามแบบจำลองสถานการณ์นั้นมีการนำเอาภาคสาธารณะคือประชาชนเข้ามีส่วนในการฝึกซ้อมไม่ว่าจะเป็นการซ้อมประเภทใดต้องมีการแจ้งล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหนึ่งเสมอเพราะอันตรายที่จะเกิดจากความไม่รู้ว่ามีการซ้อมสถานการณ์นั้นมากเกิน
| |
− | กว่าที่หน่วยงานใดจะรับผิดชอบได้เช่นการเกิดอุบัติเหตุจากความตระหนกสตรีคลอดก่อนกำหนดหรือการที่ผู้สูงอายุในท้องที่อื่นเห็นหรือรับฟังข่าวแล้วไม่ทราบว่าคือการซ้อมอาจจะช็อกได้เพราะเป็นห่วงญาติในพื้นที่ที่มีการซ้อมส่วนข้อควรจำของการฝึกซ้อมคือการฝึกซ้อมนั้นเพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องความเสี่ยงต่อภัยในพื้นที่ตลอดจนการปฏิบัติตนที่ถูกต้องตามสถานการณ์รวมทั้งการสร้างความคุ้นเคยในการอพยพหลบภัยเพราะในภาวะที่ตระหนกและคับขันนั้นประชาชนมักจะสับสนและไม่มีสติความคุ้นเคยในการฝึกซ้อมจะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้เป็นระบบมากขึ้นการฝึกซ้อมมีหลายรูปแบบตัวอย่าง
| |
− |
| |
− | ๏ การเตือนภัยอย่างเป็นระบบการเตือนภัยอย่างเป็นระบบ
| |
− |
| |
− | ๏ การอพยพก่อนการเกิดภัยในการอพยพนั้นมีทั้ง 1) การอพยพหนีภัยแบบทันทีและ 2) การ
| |
− | อพยพหนีภัยแบบที่มีเวลาเตือนล่วงหน้าซึ่งการหนีภัยทั้งสองแบบแตกต่างกันไปตามภัยที่เกิดเพราะภัยบางประเภทเช่นแผ่นดินไหวนั้นเกิดขึ้นในทันทีไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้อย่างที่สามารถมีเวลาในการอพยพเหมือนดังเช่นสึนามิพายุต่างๆซึ่งจะทำให้การดำเนินการอพยพแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นกับทิศทางการอพยพที่มีความสัมพันธ์กับประเภทของภัยพิบัติด้วยเช่น
| |
− |
| |
− | - ในกรณีไฟไหม้เรามักใช้การอพยพในแนวนอนคือพยายามให้ประชาชนออกจากพื้นที่ในแนวราบ
| |
− |
| |
− | -ในกรณีสึนามิจะใช้การอพยพในแนวดิ่งคือให้ประชาชนเคลื่อนที่ขึ้นที่สูง
| |
− |
| |
− | - ในกรณีแผ่นดินไหวหากอาคารมีความมั่นคงแข็งแรงสามารถใช้การอพยพแบบอยู่กับที่คือไม่ต้องออกจากพื้นที่แต่ต้องระวังหาที่กำบังไม่ให้สิ่งของตกมาทับข้อควรพิจารณาในการอพยพ
| |
− |
| |
− | 2.) การดำเนินการระหว่างเกิดภัย (Disaster and EmergencyResponse) เป็นการดำเนินการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆโดยระดมทรัพยากรที่มีอยู่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเครื่องมือ : การระบุหน่วยงานหลักและหน่วยประสานงานการใช้ระบบการบัญชาการการอยพยพระหว่างสถานการณ์การติดต่อสื่อสารด้วยช่องทางต่างๆการเคลื่อนย้ายทรัพยากรการจัดการจราจรการจัดทีมการให้ความช่วยเหลือและการจัดการในพื้นที่หลบภัย เป็นการดำเนินการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆโดยระดมทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งในด้านกำลังคนและปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในภาวะไม่ปรกติในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยซึ่งในขั้นตอนนี้นั้นถือได้ว่าเป็นการจัดการภาวะฉุกเฉินและเป็นการจัดการที่มีความยากลำบากมากเพราะต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพในการเข้าให้ความช่วยเหลือกู้ชีพในสภาวะทางกายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจนบางครั้งถึงกับไม่เหลือเค้าโครงเดิมที่เคบพบเห็นมาอีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือเองก็ต้องคำนึงถีงความปลอดภัยของทีมงานของตนและตัวเองเช่นเดียวกันเพราะหากเจ้าหน้าที่ที่เข้าให้ความช่วยเหลือไม่สามารถปฏิบัติงานได้ผู้ที่รอรับความช่วยเหลือก็จะได้รับอันตรายเช่นเดียวกันดังนั้นเครื่องมือที่ช่วยให้การดำเนินการระหว่างเกิดภัยที่มีความคับขันของภายภาพเวลาและเงื่อนไขความเป็นตายของผู้ประสบภัยเป็นเดิมพันมีประสิทธิภาพมากขึ้นมีดังนี้
| |
− |
| |
− | ๏ การทำความเข้าใจต่อนโยบายและแผนปฏิบัติการต่างๆ
| |
− |
| |
− | ๏ การใช้ระบบการบัญชาการ
| |
− |
| |
− | ๏ การระบุหน่วยงานหลักและหน่วยประสานงาน
| |
− |
| |
− | ๏ การประเมินสถานการณ์และการเข้ากู้ภัย
| |
− |
| |
− | ๏ การอพยพระหว่างสถานการณ์องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรที่จะตระหนักถึงประชาชนที่อาจจะไม่ได้รับคำเตือนอพยพล่วงหน้าหรืออาจจะไม่ยอมอพยพในช่วงแรกๆทำให้หน่วยงานต้องทำการอพยพเพิ่มเติมในระหว่างที่ภัยพิบัติกำลังเกิดขึ้นอยู่หรือแม้แต่การอพยพในแบบทันทีเพราะภัยที่เกิดขึ้นเป็นแบบที่ไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้การอพยพในระหว่างสถานการณ์นั้นมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่งเพราสถานการณ์ไม่คงที่และอาจเกิดความเสียหายทางกายภาพอย่างมากและส่งผลต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการอพยพแต่เนื่องจากหน่วยท้องถิ่นนั้นมีความชำนาญการและคุ้นเคยต่อตำแหน่งของประชาชนและที่หลบภัยมากกว่าการเข้าปฏิบัติการโดยองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นจึงน่าจะได้ประสิทธิผลที่สูงกว่าดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองก็ควรที่จะมีกำลังคนที่มีความรู้ความชำนาญและมีอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือในการอพยพที่ครบครัน
| |
− |
| |
− | ๏ การติดต่อสื่อสารด้วยช่องทางต่างๆภายใต้ความซับซ้อนของสถานการณ์และความฉุกเฉินของการเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ต่างก็พยายามที่จะใช้ช่องทางการสื่อสารด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันแต่ความต้องการในการใช้ช่องทางการสื่อสารที่มากขึ้นกว่าเดิมในห้วงเวลาอันจำกัดนั้นจะส่งผลให้ช่องทางการสื่อสารหลักล้มเหลวในทันทีอย่างเช่นในเหตุการณ์สึนามิโทรศัพท์มือถือไม่สามารถใช้ได้วิทยุสื่อสาร VHF ก็มีผู้เข้าใช้จำนวนมากจนยุ่งเหยิงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเตรียมอุปกรณ์ในการสื่อสารหลักและสำรองให้กับเจ้าหน้าที่อย่างครบถ้วนมีการตรวจตราเครื่องมือเหล่านี้ให้สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอๆเพราะในการปฏิบัติงานด้านภัยพิบัตินั้นต้องการการประสานงานที่รวดเร็วมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างทั่วถึงและไม่มีการขาดหายอีกทั้งการทำงานกับภัยพิบัตินั้นมีตัวแปรเรื่องพื้นที่ทางกายภาพอยู่ตลอดเวลาการสื่อสารเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเพื่อทำให้การแยกกันทำงานในแต่ละพื้นที่สามารถประสานงานและช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อย่างดี
| |
− |
| |
− | ๏ การจัดการจราจรและการเคลื่อนย้ายทรัพยากรในภัยพิบัติการวางแผนการจราจรทั้งในเส้นทางหลักเส้นทางรองพาหนะหลักและพาหนะสำรองเป็นกระบวนการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดเพราะในเวลาดำเนินงานนั้นทรัพยากรจะต้องมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลารวมทั้งการสร้างระบบการรับส่งผู้ป่วยจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเรียนรู้การส่งต่อผู้ป่วยว่ามีกระบวนการหรือมีข้อมูลหลักใดที่ต้องนำส่งไปด้วยการจัดส่งของบริจาคหรือถุงยังชีพที่ไม่สามารถจัดส่งได้โดยเส้นทางปรกตินั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องวางระบบการรับส่งทางอากาศหรือการตั้งจุดช่วยเหลือเคลื่อนที่ขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกและแจกจ่ายอย่างทั่วถึง
| |
− |
| |
− | ๏ การทำงานกับสื่อศาสตร์ด้านการจัดการภัยพิบัติไม่ได้ให้แนวทางแต่เฉพาะว่าสื่อต้องการอะไรระหว่างการเกิดสถานการณ์หากแต่ยังแนะนำการเล่นบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นและองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นในการจัดการสื่อไว้ด้วย
| |
− |
| |
− | ๏ การจัดการในพื้นที่หลบภัย
| |
− |
| |
− | ๏ การติดตามประเมินความเสียหาย
| |
− |
| |
− | ๏ การฟื้นฟูบูรณะทางกายภาพและจิตใจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเข้าสำรวจพื้นที่ที่เกิดความเสียหาย
| |
− | ร่วมกับหน่วยงานต่างๆในการทำความสะอาดและประเมินความปลอดภัยในการกลับเข้าอยู่อาศัยในพื้นที่และดำเนินการให้ความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์วัสดุในการซ่อมแซมให้กับประชาชนในกรณีที่ความเสียหายไม่มากจนเกินไปนักหรือถ้าในกรณีความเสียหายมีสูงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเป็นผู้ประสานในการขอความช่วยเหลือการได้รับการชดเชยช่วยเหลือหรือแม้แต่กระทั่งการบูรณะใหม่ทั้งหมดเช่นการสร้างบ้านน็อคดาวน์หรือการให้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานของทหารช่างและทหารพัฒนาในการสร้างบ้านที่มีความปลอดภัยและสามารถต้านทานภัยได้ในระดับที่สูงขึ้นช่วยให้ประชาชนอยู่กับสถานการณ์เหล่านี้ได้ในส่วนของการฟื้นฟูสภาพจิตใจของประชาชนและเจ้าหน้าที่นั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ทั้งในฐานะตัวกลางประสานงานให้นักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาเข้าพูดคุยและเยียวยาผู้ประสบภัยทั้งนี้ด้วยเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นจะรู้ข้อมูลของผู้ประสบภัยรู้ภาวะทางด้านจิตใจของชุมชนและจะเป็นผู้ที่ผู้ประสบภัยไว้วางใจที่จะพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ที่พามาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองจะทำหน้าที่ในการพูดคุยและเยียวยาผู้ประสบภัยเองก็ย่อมทำได้หรือแม้แต่การให้กำลังใจและสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการทำงานให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยสามารถเริ่มจากการไต่ถามสำรวจข้อมูลความต้องการของประชาชนในชุมชนในการดำเนินการฟื้นฟู
| |
− |
| |
− | ๏ การระบุร่องรอยภัยพิบัติงานการระบุร่องรอยภัยพิบัตินี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้จากบทเรียนของการเกิดขึ้นของภัยพิบัติว่าส่งผลกระทบในระดับใดมีรูปแบบอย่างไรสร้างความเสียหายในด้านใดและขนาดไหนการระบุร่อบรอยของภัยพิบัติมีประโยชน์มากต่อการจัดทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและวางมาตรการในการจัดการในครั้งต่อไปทั้งนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่รู้จักพื้นที่มากที่สุดและต้องเป็นผู้ที่ออกสำรวจพื้นที่เพื่อประเมินความเสียหายในเบื้องต้นอยู่แล้วซึ่งการระบุร่องรอยเป็นงานที่ต้องดำเนินการภายหลังจากการเกิดภัยอย่างรวดเร็วเพราะหากทิ้งเวลาเนิ่นนานไปเมื่อประชาชนกลับเข้าสู่พื้นที่และเริ่มดำเนินชีวิตแบบปรกติร่องรอยของภัยพิบัติจะถูกรบกวนและลบเลือนไปจากกิจกรรมของชุมชนการได้มาซึ่งข้อมูลร่องรอยนี้จะช่วยให้ท้องถิ่นมีความเข้าใจในภัยที่ต้องเผชิญได้ดีมากขึ้นและสามารถดำเนินการประเมินความเสี่ยงที่ต่อเนื่องไปต่อไป
| |
− |
| |
− | ๏ การจัดการเรื่องของบริจาคภายหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปเราจะพบปัญหาหลักประการหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอนั่นคือปัญหาการจัดการกับสิ่งของและเงินบริจาคโดยปัญหามีทั้งในมิติของความโปร่งใสในการจัดการแจกจ่ายของและเงินบริจาคและมิติของความวุ่นวายไม่เป็นระบบของการแจกจ่ายจนของบริจาคบางส่วนเน่าเสียและกองรวมกันอยู่อย่างไม่มีใครใส่ใจในการดำเนินการจัดการกับสิ่งของและเงินบริจาคตรงลงมายังท้องถิ่นนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้แทนในระดับพื้นที่เช่นผู้ใหญ่บ้านจะต้องมีบทบาทในการประสานการแจกจ่ายด้วยการที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในระดับต่างๆต้องทำหน้าที่เสมือนจุดศูนย์กลางของการจัดเก็บและแจกจ่ายผ่านไปยังผู้แทนพื้นที่ในการกระจายสู่ครัวเรือนต่อไปหากเป็นกังวลในประเด็นของความเสมอภาคและทั่วถึงให้จัดกำลังอาสาสมัครร่วมไปกับการแจกจ่ายเพื่อช่วยให้มีการตรวจสอบไปในตัว
| |
− |
| |
− | ๏ การสร้างชุมชนสามารถฟื้นคืนจากภัย เป้าหมายสูงสุดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่คือการสร้างให้ชุมชนมีความรู้ความสามารถความเข้าใจพร้อมรับมือภัยพิบัติและจัดการตนเองให้ฟื้นคืนจากผลกระทบของภัยได้อย่างรวดเร็วทั้งนี้ต้องอาศัยเครื่องมือที่กล่าวมาในทุกขั้นตอนและหลักการพัฒนาขีดความสามารถที่นำเสนอในส่วนถัดไป
| |
− | ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: คู่มือการจัดการภัยพิบัติท้องถิ่นที่มา : http://www.flood.rmutt.ac.th/?wpfb_dl=180
| |
− |
| |
− | ==การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม==
| |
− |
| |
− | 2.1 ความหมายของการจัดการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมายถึง การดำเนินงานต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในด้านการจัดหา การเก็บรักษา การซ่อมแซม การใช้อย่างประหยัดและการสงวนรักษาเพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้น สามารถเอื้ออำนวยประโยชน์แก่มวลมนุษย์ได้ใช้ตลอดไป อย่างไม่ขาดแคลน หรือมีปัญหาใดๆหรืออาจจะหมายถึง กระบวนการจัดการแผนงาน หรือกิจกรรมในการจัดสรร และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อสนองความต้องการในระดับต่างๆของมนุษย์ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาคือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพสิ่งแวดล้อมโดยยึดหลักการอนุรักษ์ ด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาดประหยัด และก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
| |
− |
| |
− |
| |
− | 2.2 แนวความคิดในการจัดการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
| |
− | การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีแนวความคิดหลักในการดำเนินงานดังนี้คือ
| |
− |
| |
− | 1.) มุ่งหวังให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ประกอบกันอยู่ในระบบธรรมชาติมีศักยภาพ ที่สามารถให้ผลิตผลได้อย่างยั่งยืน ถาวร และมั่นคง คือมุ่งหวังให้เกิดความเพิ่มพูนภายในระบบ ที่จะนำมาใช้ได้โดยไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้นๆ
| |
− |
| |
− | 2.) ต้องมีการจัดองค์ประกอบภายในระบบธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศให้มี ชนิด ปริมาณและสัดส่วนของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมแต่ละชนิดเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานตามธรรมชาติเพื่อให้อยู่ในภาวะสมดุลของธรรมชาติ
| |
− |
| |
− | 3.) ต้องยึดหลักการของอนุรักษ์วิทยาเป็นพื้นฐานโดยจะต้องมีการรักษา สงวน ปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในทุกสภาพ ทั้งในสภาพที่ดีตามธรรมชาติ ในสภาพที่กำลังมีการใช้และในสภาพที่ทรุดโทรมร่อยหรอ
| |
− |
| |
− | 4.) กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการควบคุม และกำจัดของเสียมิให้เกิดขึ้นภายในระบบธรรมชาติรวมไปถึงการนำของเสียนั้นๆกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
| |
− |
| |
− | 5.) ต้องกำหนดแนวทางในการจัดการ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมในแต่ละสถานที่และแต่ละสถานการณ์
| |
− |
| |
− | จากแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้น มีหลายชนิด และแต่ละชนิด ก็มีคุณสมบัติ และเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัวดังนั้น เพื่อให้การจัดการสามารถบรรลุเป้าหมายของแนวคิด จึงควรกำหนดหลักการจัดการหรือแนวทางการจัดการให้สอดคล้องกับชนิดคุณสมบัติ และเอกลักษณ์เฉพาะอย่างของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ดังนี้
| |
− |
| |
− | ทรัพยากรหมุนเวียน หรือทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดสิ้น
| |
− |
| |
− | เป็นทรัพยากรที่มีอยู่ในธรรมชาติอย่างมากมาย อาทิเช่น แสงอาทิตย์ อากาศ และน้ำในวัฏจักรทรัพยากรประเภทนี้ มีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นถ้าขาดแคลน หรือมีสิ่งเจือปน ทั้งที่เป็นพิษ และไม่เป็นพิษก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโต และศักยภาพในการผลิตของทรัพยากรธรรมชาตินั้น
| |
− | การจัดการจะต้องควบคุมการกระทำที่จะมีผลเสียหรือเกิดสิ่งเจือปนต่อทรัพยากรธรรมชาติ ต้องควบคุม และป้องกันมิให้เกิดปัญหามลพิษจากขบวนการผลิต ทั้งการเกษตร อุตสาหกรรมที่จะมีผลต่อทรัพยากรประเภทนี้ รวมทั้งการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั้งผลดี-ผลเสียของการปนเปื้อน วิธีการควบคุม แลป้องกันรวมทั้งต้องมีกฎหมายควบคุมการกระทำที่จะมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติประเภทนี้ด้วย
| |
− |
| |
− |
| |
− | ทรัพยากรทดแทนได้
| |
− |
| |
− | เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้ว สามารถฟื้นคืนสภาพได้ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวซึ่งได้แก่ ป่าไม้ มนุษย์ สัตว์ป่า พืช ดิน และน้ำ ทรัพยากรประเภทนี้มักจะมีมาก และจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆมนุษย์ต้องการใช้ทรัพยากรนี้ตลอดเวลา เพื่อปัจจัยสี่การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติชนิดนี้หรือการนำมาใช้ประโยชน์ ควรนำมาใช้เฉพาะส่วนที่เพิ่มพูนเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งแนวคิดนี้ถือว่า ฐานของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่เปรียบเสมือนต้นทุน ที่ ะได้รับผลกำไร หรือดอกเบี้ยรายปี โดยส่วนกำไรหรือดอกเบี้ยนี้ก็คือส่วนที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง
| |
− |
| |
− | การจัดการจะต้องจัดให้ระบบธรรมชาติมีองค์ประกอบภายในที่มีชนิด และปริมาณที่ได้สัดส่วนกัน การใช้ต้องใช้เฉพาะส่วนที่เพิ่มพูนและต้องควบคุม และป้องกันให้สต๊อกหรือฐานของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้นๆ มีศักยภาพ หรือความสามารถในการให้ผลิตผลหรือส่วนเพิ่มพูนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งในการใช้ หรือการผลิตของทรัพยากรธรรมชาตินั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และยึดหลักทางการอนุรักษ์วิทยาด้วย
| |
− |
| |
− |
| |
− | ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป
| |
− |
| |
− | เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วจะหมดไป ไม่สามารถเกิดขึ้นมาทดแทนได้ หรือถ้าจะเกิดขึ้นมาทดแทนได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก และมักเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจซึ่งได้แก่ น้ำมัน ปิโตรเลียมก๊าซธรรมชาติและสินแร่การจัดการทรัพยากรประเภทนี้จะต้องเน้นการประหยัด และพยายามไม่ให้เกิดการสูญเสีย ต้องใช้ตามความจำเป็นหรือถ้าสามารถใช้วัสดุอื่นแทนได้ ก็ควรนำมาใช้แทนรวมทั้งต้องนำส่วนที่เสียแล้ว กลับมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าต่อไป
| |
− |
| |
− | 2.3 กลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องมีแนวทางและมาตรการต่างๆที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกันไปซึ่งขึ้นกับสถานภาพของปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนั้นแนวทาง และมาตรการดังกล่าว จะมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด หรือมีทุกลักษณะประกอบกัน ดังนี้
| |
− |
| |
− | • การรักษาและฟื้นฟู เพื่อการปรับปรุงแก้ไขทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่ประสบปัญหา หรือถูกทำลายไปแล้ว โดยจะต้องเร่งแก้ไข สงวนรักษามิให้เกิดความเสื่อมโทรมมากยิ่งขึ้น และขณะเดียวกัน จะต้องฟื้นฟูสภาพ
| |
− | แวดล้อมที่เสียไปให้กลับฟื้นคืนสภาพ
| |
− |
| |
− | • การป้องกันโดยการควบคุมการดำเนินงาน และการพัฒนาต่างๆให้มีการป้องกันการทำลายสภาพแวดล้อม หรือให้มีการกำจัดสารมลพิษต่างๆด้วยการวางแผนป้องกันตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ
| |
− |
| |
− | • การส่งเสริมโดยการให้การศึกษา ความรู้ และความเข้าใจ ต่อประชาชนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในระบบทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศ เพื่อให้เกิดจิตสำนึกทางด้านสิ่งแวดล้อมและมีความคิดที่จะร่วมรับผิดชอบในการป้องกัน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่
| |
− |
| |
− | 2.4 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | 2.4.1 กฎหมาย
| |
− |
| |
− | เครื่องมือที่สำคัญประการหนึ่งที่จะมีผลทำให้การจัดการหรือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมประสบผลสำเร็จก็คือ กฎหมายทั้งนี้เพราะต้องอาศัยกฎหมาย เพื่อการกำหนดนโยบายการจัดการให้การดำเนินงานเป็นไปตามหลักความสมดุลของธรรมชาติมีความสอดคล้องกับการกำหนดอำนาจหน้าที่ วิธีการประสานงานขององค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้อง และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเครื่องมือในการควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามระเบียบ และข้อกำหนดอย่างชัดเจนด้วยเดิมทีประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพียงฉบับเดียว ที่ครอบคลุมเรื่องการแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือ พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๑๘ และฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มิได้มีกลไกที่เป็นระบบ ที่จะช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและแผนที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ไปสู่ภาคปฏิบัติที่ได้ผลขาดความต่อเนื่องในการติดตามตรวจสอบโครงการ ที่ได้ดำเนินงานไปแล้วขาดอำนาจในการลงโทษ และการบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและประเด็นที่สำคัญก็คือไม่มีการกำหนดความรับผิดชอบของผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมที่จะต้องรับภาระในการแก้ไข นอกจากนั้นยังไม่เปิดโอกาสให้มีการจัดทำเครือข่ายการทำงานด้านการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่จะช่วยให้มีการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐบาลเอกชน และองค์กรเอกชนอย่างมีระบบ รวมทั้งยังไม่ได้มีการกระจายอำนาจออกไปสู่ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นให้เพียงพอด้วย
| |
− |
| |
− | ปัจจุบันมีการตราพระราชบัญญัติขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นกฎหมาย ที่จะเอื้ออำนวยต่อการควบคุมและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ ได้มีผลทำให้เกิดมาตรการการดำเนินงานต่างๆ อาทิเช่น การปรับองค์กรให้มีเอกภาพ ทั้งในการกำหนดนโยบาย และแผนการส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมการควบคุมมลพิษ การกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมออกสู่จังหวัด และท้องถิ่น การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดการพิจารณา และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งก่อนและหลังโครงการพัฒนา การกำหนดสิทธิ และหน้าที่ตามกฎหมายของประชาชนและเอกชน ที่จะมีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การนำมาตรการด้านการเงินการคลังมาใช้เป็นมาตรการเสริมเพื่อให้เป็นแรงจูงใจ และมาตรการบังคับให้ส่วนราชการท้องถิ่น องค์กรเอกชน และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักการ "ผู้ก่อให้เกิดมลพิษต้องมีหน้าที่เสียค่าใช้จ่าย" การกำหนดหรือจำแนกพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเร่งด่วน เพื่อการคุ้มครองอนุรักษ์และควบคุมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการกำหนดความรับผิดชอบทางแพ่ง การต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือสินไหมทดแทนกรณีทำให้เกิดการแพร่กระจายมลพิษ และการเพิ่มบทลงโทษในการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดขึ้นด้วยทั้งในรูปของการปรับและการระวางโทษจำคุกเป็นต้น
| |
− | นอกจากนี้แล้วยังมีกฎหมายฉบับอื่นๆซึ่งมีบทบัญญัติบางมาตรา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอีกหลายฉบับ อาทิเช่น พระราชบัญญัติโรงงาน ๒๕๓๕พระราชบัญญัติสาธารณสุข ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย ๒๕๓๕พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ เป็นต้น รวมทั้งยังมีประกาศกระทรวง กฎกระทรวง ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กับสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความตามมาตราในพระราชบัญญัติต่างๆ
| |
− |
| |
− | 2.4.2 องค์กรเพื่อการบริหารงานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
| |
− | จากการที่ได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ขึ้นใหม่ได้มีผลทำให้มีการปรับอำนาจหน้าที่ และองค์ประกอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้นใหม่โดยมีลักษณะเป็นคณะรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อม มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทน จากภาคเอกชนร่วมเป็นกรรมการด้วย โดยมีปลัด กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งจะมีผลทำให้การดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังได้มีการ ปรับปรุงและจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมขึ้น ภายใต้ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ๓ หน่วยงาน คือ สำนักงานนโยบายและ แผนสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมมลพิษ และกรม ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | • สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม: มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในการจัดทำนโยบาย และแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้สอดคล้องกับนโยบายด้านต่างๆของประเทศ การจัดทำแผนการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมและประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัดการประสานการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การเสนอแนะแนวนโยบาย แนวทาง และการประสานการบริหาร งานการจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการ ติดตามตรวจสอบและการจัดทำรายงานสถานการณ์ คุณภาพสิ่งแวดล้อมการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่ง แวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมหรือโครงการของภาครัฐ หรือเอกชน การประสานงานด้านสิ่งแวดล้อมในส่วนภูมิภาคและการกำหนดท่าที แนวทาง และประสานความร่วมมือรวมทั้งการ เข้าร่วมในพันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมระหว่าง ประเทศ
| |
− |
| |
− | • กรมควบคุมมลพิษ : มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในการจัดทำนโยบาย และแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านการควบคุมมลพิษการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานควบคุมมลพิษ จากแหล่งกำเนิดการจัดทำแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมาตรการในการควบคุม ป้องกัน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะมลพิษ การพัฒนาระบบ รูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการคุณภาพน้ำ อากาศระดับเสียง สารอันตราย และกากของเสียรวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับการรับเรื่องราวร้อง ทุกข์ด้านมลพิษ
| |
− |
| |
− | • กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม: มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในด้านการส่งเสริมเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ด้านสิ่งแวดล้อมการจัดทำระบบข้อมูลข้อสนเทศ ด้านสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการให้ความรู้ ด้านสิ่งแวดล้อม แก่หน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชน
| |
− | นอกจากนี้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ยังได้มีการจัดตั้งสำนักงานสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาคขึ้น เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับภูมิภาครวมทั้งเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยโดยในปัจจุบันมีสำนักงานสิ่งแวดล้อมภูมิภาคอยู่ ๔ สำนักงาน คือสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดขอนแก่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคตะวันออก
| |
− |
| |
− | 2.4.3 กองทุนสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | กลไกพื้นฐานประการหนึ่งที่จะทำนโยบายและแผน ไปสู่การปฏิบัติอย่างได้ผลเป็นรูปธรรมก็คือการให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ ดังนั้นในปัจจุบันจึงได้มีการจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักของการจัดตั้งกองทุน คือการให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการกู้ยืม และ/หรือร่วมลงทุนสำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างและดำเนินการระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ของทางราชการในระดับท้องถิ่น หรือส่วนราชการอื่น ที่เกี่ยวข้อง ที่มีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน การบริหารกองทุนเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ซึ่งมี ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่ง แวดล้อม เป็นประธานฯ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
| |
− | กองทุนสิ่งแวดล้อมได้จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ๒๕๓๕ โดยรัฐได้จัดสรรเงินงบประมาณให้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเบื้องต้น ๕๐๐ ล้านบาทเงินสมทบจากองทุนน้ำมัน ๔,๕๐๐ ล้านบาทและต่อมาในปี ๒๕๓๖ และ ๒๕๓๗ ได้รับการจัดสรรเงินจากเงินงบประมาณแผ่นดินอีกปีละ๕๐๐ ล้านบาท
| |
− |
| |
− |
| |
− | 2.4.4 การวางแผนพัฒนาสิ่งแวดล้อมในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
| |
− |
| |
− |
| |
− | ประเทศไทยได้เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ แต่การวางแผนพัฒนาในระยะแรกๆ ยังไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากนัก โดยในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑ (๒๕๐๔ - ๒๕๐๙) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๒ (๒๕๑๐ - ๒๕๑๔) และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๓ (๒๕๑๕ - ๒๕๑๙)ได้เน้นการระดมใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยขาดการวางแผนการจัดการที่เหมาะสม ขาดการคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม จนในช่วงของปลายแผนพัฒนาฯฉบับที่ ๓ ได้ปรากฏให้เห็นชัดถึงปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรหลักของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าไม้ ดินแหล่งน้ำ และแร่ธาตุ รวมทั้งได้เริ่มมีการแพร่กระจายของมลพิษ ทั้งมลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ เสียง กากของเสีย และสารอันตรายดังนั้น ประเทศไทยจึงได้เริ่มให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมา ตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่๔ เป็นต้นมา
| |
− |
| |
− | • แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๔ (๒๕๒๐ -๒๕๒๔): กำหนดแนวทางการฟื้นฟูบูรณะ ทรัพยากรที่ถูกทำลาย และมีสภาพเสื่อมโทรมการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างๆไว้ในแผนพัฒนาด้านต่างๆและได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังขึ้นโดยได้มีการจัดทำนโยบายและมาตรการการ พัฒนาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒๕๒๔ ขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๘
| |
− |
| |
− | • แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๕ (๒๕๒๕ -๒๕๒๙) : กำหนดแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยการนำนโยบายและมาตรการการพัฒนาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ได้จัดทำขึ้นมาเป็นกรอบในการกำหนดแนวทางมีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม กำหนดให้โครงการพัฒนาของรัฐขนาดใหญ่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมรวมทั้งมีการจัดทำแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ เช่นการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาการจัดการสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกการวางแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาภาคใต้ตอนบน
| |
− |
| |
− | • แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๖ (๒๕๓๐ -๒๕๓๔): ได้มีการปรับทิศทาง และแนวคิดในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใหม่โดยการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภท ซึ่งได้แก่ ทรัพยากรที่ดินทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรแหล่งน้ำ ทรัพยากรประมง และทรัพยากรธรณีและการจัดการมลพิษ มาไว้ในแผนเดียวกัน ภายใต้ชื่อแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยให้ความสำคัญในเรื่องของการปรับปรุงการบริหารและการจัดการให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็น ระบบและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้มีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษ และที่สำคัญคือเน้นการส่งเสริมให้ประชาชน องค์กร และหน่วยงานในระดับท้องถิ่นมีการวางแผนการจัดการ และการกำหนดแผนปฏิบัติการในพื้นที่ร่วมกับส่วนกลางอย่างมีระบบโดยเฉพาะการกำหนดให้มีการจัดทำแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับ จังหวัดทั่วประเทศ
| |
− |
| |
− | • แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๗ (๒๕๓๕ -๒๕๓๙) : การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยการสนับสนุนองค์กรเอกชน ประชาชน ทั้งในส่วนกลาง และส่วนท้องถิ่นให้เข้ามามีบทบาท ในการกำหนดนโยบาย และแผนการจัดการการเร่งรัดการดำเนินงาน ตามแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่แล้วการจัดตั้งระบบข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ให้เป็นระบบเดียวกันเพื่อใช้ในการวางแผน การนำมาตรการด้านการเงินการคลัง มาช่วยในการจัดการและการเร่งรัดการออกกฎหมาย เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการควบคุมและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | 2.4.5 การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | การพัฒนาด้านต่างๆจะต้องมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดผลิตผลตามความต้องการ แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีของเสียเป็นสารมลพิษเกิดขึ้นด้วย ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นธรรมชาติมีขีดความสามารถในการรองรับของเสียได้เพียงบางส่วนและประกอบกับเราก็ไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดหรือแก้ไขปัญหาภาวะมลพิษให้หมดสิ้นไปได้ทั้งหมดด้วยดังนั้นการควบคุมภาวะมลพิษของประเทศไทยจึงใช้วิธีการกำหนดมาตรฐานเป็นสำคัญ การ กำหนดมาตรฐานนี้เป็นมาตรการโดยตรงที่สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ และเป็นเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการจัดการควบคุมปัญหา ภาวะมลพิษเพื่อให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับมาตรฐานขั้นต่ำที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศและระดับความต้องการ ของคุณภาพชีวิต รวมทั้งยังเป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยให้สามารถกำหนดนโยบายที่ถูกต้อง เพื่อการพัฒนาและป้องกันการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม ให้สามารถดำเนินการได้อย่างหมาะ
| |
− |
| |
− | การกำหนดมาตรฐาน โดยทั่วไปจะทำได้สองลักษณะคือ การกำหนดมาตรฐานจากแหล่งกำเนิด หรือมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด (Emission Standard) และการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Ambient Standard)
| |
− |
| |
− | • มาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด (Emission Standard) เป็นมาตรฐานมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไป มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ได้มีการประกาศใช้แล้ว อาทิเช่น มาตรฐานคุณภาพน้ำ ในแหล่งน้ำผิวดินที่ไม่ใช่ทะเล มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่ง มาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งมาตรฐานคุณภาพน้ำบาดาล ที่จะใช้บริโภค มาตรฐานคุณภาพน้ำดื่มและมาตรฐานคุณภาพอากาศ ในบรรยากาศ เป็นต้น
| |
− |
| |
− | • มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Ambient Standard) เป็นมาตรฐานมลพิษจากแหล่งกำเนิด หรือกิจกรรมต่างๆมาตรฐานที่ได้มีการประกาศใช้แล้ว อาทิเช่น มาตรฐานคุณภาพอากาศเสียที่ระบายออกจากท่อไอเสียของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือกลมาตรฐานคุณภาพอากาศเสีย ที่ระบายออกจากโรงงาน มาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์รถจักรยานยนต์ และเรือกล และมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารบางประเภท และบางขนาด เป็นต้น
| |
− | มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดเหล่านี้ เป็นกลยุทธ์หนึ่งของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ เมื่อมีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด เสมอภาคกันและต่อเนื่อง รวมทั้งจะต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าของโครงการ หรือนักลงทุน ผู้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นสำคัญด้วย
| |
− |
| |
− |
| |
− | นอกจากนี้เพื่อให้การใช้มาตรฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการสนับสนุนการกระจายอำนาจ ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒๕๓๕ยังได้มีการกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในเขตควบคุมมลพิษซึ่งเป็นพื้นที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมวิกฤต มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดให้สูงกว่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดที่กำหนดไว้แล้วได้
| |
− |
| |
− | 2.4.6 มาตรการจูงใจในการอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมปัจจุบันปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือในการดำเนินงานแก้ไข ทั้งในภาครัฐบาล ผู้ประกอบการและ ประชาชนโดยทั่วไป ดังนั้น แนวทางการจัดการ หรือแนวทางการอนุรักษ์จึงต้องเข้าไป แทรกแซงอยู่ในพฤติกรรมของผู้ใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวโดยการสร้างแรงจูงใจทางด้านเศรษฐกิจขึ้นซึ่งวิธีนี้จะทำให้การอนุรักษ์เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพราะจะเป็นการให้ความเป็นธรรม ในการกระจายต้นทุน และผลประโยชน์ในการอนุรักษ์ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยวิธีการต่างๆซึ่งได้แก่
| |
− |
| |
− | การกำหนดมาตรการที่จะช่วยให้ราษฎร ในระดับท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์จากการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้นโดยการนำรายได้จากการบริหาร และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติมาจัดสรรและนำกลับไปพัฒนาชุมชน และคุณภาพชีวิตของราษฎรในท้องถิ่นให้ดีขึ้นอาทิเช่น การจัดสรรผลประโยชน์จากการดำเนินงานด้านป่าไม้โดยการเก็บภาษีผลกำไรในธุรกิจป่าไม้ และนำไปใช้ในโครงการพัฒนาชนบทหรือการนำค่าธรรมเนียมการเข้าไปใช้พื้นที่คุ้มครองไปใช้ในการป้องกันรักษาทรัพยากรและการจัดการพื้นที่คุ้มครองในแต่ละแห่งเป็นต้น
| |
− |
| |
− | การลดอัตราอากรสำหรับเครื่องจักร วัสดุและอุปกรณ์ ที่ใช้ในการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเนื่องจากปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อใช้ในการรักษา หรือควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมขึ้นมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้เครื่องจักร วัสดุและอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นได้ทางหนึ่ง กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗สิงหาคม ๒๕๒๕ จึงได้กำหนดแนวนโยบายด้านการลดอัตราอากรศุลกากร หลักเกณฑ์เงื่อนไขในการลดอัตราอากรศุลกากร สำหรับเครื่องจักรวัสดุอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานหรือที่รักษาสิ่งแวดล้อมขึ้น โดยให้เรียกเก็บอัตราอากรเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของอัตราปกติหรือเหลือร้อยละ๕ แล้วแต่อย่างไหนจะต่ำกว่า รวมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน ตลอดจนการอนุมัติรายการเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ที่สมควรได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีอากรด้วย
| |
− | เครื่องจักรวัสดุ และอุปกรณ์ ที่รักษาสิ่งแวดล้อม ที่อยู่ในข่ายได้รับการลดอัตราอากรจะต้องเป็นชนิดและประเภท ที่ใช้ในการบำบัดน้ำเสีย อากาศเสียขจัดกากของเสียของขยะ ใช้ลด หรือป้องกันเสียงรบกวนจากต้นกำเนิดในกิจการอุตสาหกรรม อาทิเช่น แผ่นหมุนชีวภาพ อุปกรณ์ในการกำจัด คราบน้ำมันเครื่องบีบตะกอน เครื่องเติมอากาศ อุปกรณ์ครอบเสียง เครื่องดักฝุ่นผ้ากรองฝุ่น หรือถุงกรองฝุ่น สารเคมีที่ช่วยในการจับตะกอน ของอากาศเสียเครื่องกำจัดไอกรด รวมทั้ง วัสดุ/อุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย วิเคราะห์ตรวจวัด และติดตามผล เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมการริเริ่มลดอัตราอากรศุลกากรของเครื่องจักรวัสดุ และอุปกรณ์ ที่ใช้ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวนี้นับเป็นแนวคิดที่เหมาะสมกับโครงสร้าง ของประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทยซึ่งจำเป็นต้องเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้เพราะเป็นมาตรการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งจูงใจ และสร้างความกระตือรือร้นให้แก่ภาครัฐบาลและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
| |
− |
| |
− | การนำมาตรการการลดหย่อนภาษีรายได้ ตามประมวลรัษฎากรมาใช้ เพื่อสนับสนุนและคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันกระทรวงการคลัง ได้กำหนดให้รายจ่ายเพื่อสาธารณประโยชน์ สามารถนำมาหักภาษีรายได้ ในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ ๒ของกำไสุทธิได้ ซึ่งถือได้ว่า เป็นวิธีการหนึ่งที่จะสนับสนุนให้การจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นรายจ่ายเพื่อกิจการสาธารณประโยชน์ดังกล่าว ได้แก่ รายจ่ายที่จ่ายให้แก่หรือเพื่อกิจการต่างๆ
| |
− |
| |
− | 2.4.7 การประชาสัมพันธ์และสิ่งแวดล้อมศึกษา
| |
− | การป้องกันและแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นนั้นปัจจุบันสามารถกระทำได้หลายวิธีทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การออกกฎหมายควบคุม และอีกหลายๆ วิธี ดังกล่าวข้างต้นแต่วิธีการที่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นมาตรการเสริมที่จะช่วยให้การดำเนินงานแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ผลในระยะยาวก็คือ การสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในตัวของประชาชนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมวิธีการที่จะสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นได้วิธีหนึ่งก็คือ การให้การศึกษาและการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสาร ข้อมูล ทางด้านสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนได้รู้ และเข้าใจถึงอันตรายของสิ่งแวดล้อมและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตนเอง และตระหนักถึงคุณค่าและคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
| |
− |
| |
− | 1) การให้การศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ
| |
− |
| |
− | โดยการกำหนดหลักสูตรวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษาในลักษณะสอดแทรกในหมวดวิชาการต่างๆ ทั้งในระดับประถม และมัธยมศึกษารวมทั้งอุดมศึกษา ด้วยการมุ่งเน้นในด้านการมีบทบาทและความสำนึกรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ทุก
| |
− | คนจะต้องร่วมกันและในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยต่างๆก็ได้ดำเนินการผลิตบัณฑิตทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนทางด้านสิ่งแวดล้อมด้วยส่วนการให้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมนอกระบบนั้น หน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ได้จัดให้มีการเผยแพร่ความรู้ ข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อมเป็นประจำ โดยการใช้สื่อทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์หนังสือพิมพ์ และวารสารต่างๆ รวมทั้งการจัดให้มีกิจกรรมด้านต่างๆ เช่นการฝึกอบรม การประชุม สัมมนาและการจัดนิทรรศการด้านสิ่งแวดล้อมเนื่องในวันสำคัญๆ เช่นวันสิ่งแวดล้อมโลก วันสิ่งแวดล้อมไทย สัปดาห์อนามัยสิ่งแวดล้อมสัปดาห์ตาวิเศษ เป็นต้น นอกจากนี้ โรงเรียน และสถาบันการศึกษาต่างๆยังได้มีการสนับสนุน การจัดตั้งชมรมอนุรักษ์ขึ้นเป็นการภายในรวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบต่างๆ ด้วย
| |
− |
| |
− | 2) การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารและการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม
| |
− |
| |
− | ปัจจุบันการประชาสัมพันธ์ และรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกแก่ประชาชนโดยทั่วไปนั้นมีการดำเนินงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งการสร้างสื่อซึ่งได้แก่ สปอตทีวี สารคดี การผลิตโสตทัศนูปกรณ์ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งการเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนทั้งด้านหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ ทั้งนี้โดยให้ความสำคัญใน ๒ ประเด็นคือ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการป้องกันแก้ไขปัญหาภาวะมลพิษ
| |
− |
| |
− | • การสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ การอบรมผู้นำเยาวชน เพื่อการพิทักษ์ทรัพยากรในท้องถิ่นโครงการอีสานเขียว โครงการวันต้นไม้แห่งชาติเป็นต้น
| |
− |
| |
− | • การสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะมลพิษ เนื่องจากปัญหามลพิษเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในย่านอุตสาหกรรม และในเมืองหลักเป็นส่วนใหญ่การสร้างจิตสำนึก จึงเน้นกลุ่มเป้าหมาย ที่ผู้ประกอบกิจการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คนงาน และประชาชนในเมืองโดยการรณรงค์จะเป็นการผสมผสานวิธีการในหลายรูปแบบ ทั้งการจัดการฝึกอบรมสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ นิทรรศการ และกิจกรรมพิเศษเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วน ร่วม เช่น การประกวดบทความ ภาพวาดสำหรับเยาวชน เรียงความ การแข่งขันตอบ ปัญหาผ่านสื่อมวลชน เป็นต้น
| |
− | เนื่องจากการสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชนโดยทั่วไปนั้นเป็นความพยายามที่จะปรับพฤติกรรมของมนุษย์ในทิศทางที่เสริมสร้างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการแก้ไข ป้องกันปัญหาภาวะมลพิษซึ่งมักจะขัดกับพฤติกรรมที่เคยชินของประชาชนในสังคมปัจจุบัน รวมทั้งยังจำเป็นต้องมีการเสียสละเวลาและผลประโยชน์ ส่วนตนเพื่อส่วนรวมด้วยจึงเป็นการดำเนินงาน ที่ต้องการความละเอียดอ่อน และต้องใช้ระยะเวลารวมทั้งต้องมีการวางแผนที่เหมาะสม เพื่อให้เข้า ถึงประชาชนจึงจะทำให้เกิดผลบรรจุถึงเป้า หมายที่กำหนดไว้
| |
− |
| |
− | ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
| |
− |
| |
− | 1. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ที่มา:http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=19&chap=1&page=t19-1-infodetail06.html
| |