รุ่นปัจจุบัน |
ข้อความของคุณ |
แถว 1,369: |
แถว 1,369: |
| | | |
| | | |
− | ==การค้าระหว่างประเทศกับประเทศไทย==
| |
| | | |
− | 6.1. กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ
| |
| | | |
− | 6.1.1. ไทย-สหรัฐอเมริกา
| |
| | | |
− | เขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ
| |
| | | |
− | กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ :
| |
| | | |
− | ไทย-สหรัฐฯ
| + | ==การค้าระหว่างประเทศกับประเทศไทย== |
| | | |
− | ได้ลงนามกรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement : TIFA) เมื่อเดือนตุลาคม 2545 ซึ่งกรอบความตกลงนี้จะเป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุน ตลอดจนการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและเมื่อมีความคืบหน้าก็จะเป็นหนทางไปสู่การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ในการร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเยือนสหรัฐฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับ USTR เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2546 ณ สำนักงาน USTR โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานภายใต้ TIFA เพื่อเตรียมพร้อมให้ผู้นำไทยและสหรัฐฯ แถลงความเป็นไปได้ในการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในระหว่างการประชุมผู้นำเอเปคในเดือนตุลาคม 2546 โดยสหรัฐฯ ได้ระบุประเด็นที่ต้องการให้ไทยแก้ไข คือการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และศุลกากร (Customs Valuations) ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะร่วมกันเตรียมการ เพื่อปูทางสู่การเจรจา FTA ต่อไป โดยจะมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย และคาดว่าจะสามารถเริ่มการเจรจาได้ประมาณเดือนเมษายน 2547 ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เสนอแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาและด้านศุลกากรให้ฝ่ายไทยพิจารณา เพื่อปูทางสู่การเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้มีการหารือผ่าน VDO Conference ในเรื่องดังกล่าวด้วย
| |
| | | |
− | 6.1.2.ไทย-อินเดีย
| |
| | | |
− | เขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ
| |
| | | |
− | กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ :
| |
− |
| |
− | การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย – อินเดีย
| |
− |
| |
− | ความเป็นมา
| |
− |
| |
− | 1.ประเทศไทยและอินเดียมีความพยายามในการสร้างความร่วมมือทางการค้าและการ
| |
− | ลงทุนโดยทางประเทศไทยได้มีการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการหลายครั้ง ได้แก่ การเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 และการเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการของ พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 และเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 หลังจากนั้นได้มีการริเริ่มให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีในเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 ได้มีการประชุมคณะทำงานร่วมครั้งที่ 1 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าอินเดีย-ไทย (Joint Trade Committee: JTC) ครั้งที่ 10 ที่จัดขึ้นวันที่ 10 - 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ที่ประชุมลงความเห็นให้มีการจัดทำรายงานการศึกษาโดยคณะทำงานร่วม เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างอินเดีย-ไทย
| |
− |
| |
− | 2.ผลการศึกษาการจัดทำเขตการค้าเสรีไทย – อินเดีย สรุปได้ ดังนี้
| |
− |
| |
− | 2.1.อุตสาหกรรมที่คาดว่าไทยจะเข้าตลาดอินเดียได้มากขึ้นภายหลังการจัด
| |
− | ทำเขตการค้าเสรี ได้แก่ น้ำตาล สิ่งทอ เครื่องหนัง เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติกและยางพารา ยานยนต์และส่วนประกอบ และอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
| |
− |
| |
− | 2.2.อุตสาหกรรมที่คาดว่าอินเดียจะเข้าตลาดไทยได้มากขึ้นภายหลังการจัด
| |
− | ทำเขตการค้าเสรี ได้แก่ สินแร่ เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์โลหะ และผลิตภัณฑ์อาหารทะเล
| |
− |
| |
− | 2.3.การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย – อินเดีย จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการ
| |
− | ขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งสองฝ่ายและควรให้เริ่มเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีไทย - อินเดียต่อไป
| |
− |
| |
− | ข้อมูลพื้นฐาน
| |
− |
| |
− | 1. ปริมาณการค้ารวม ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2541 - 2545) การค้ารวมมีมูลค่าเฉลี่ย 994 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2545 มีมูลค่าการค้ารวม 1,184.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ร้อยละ 2.6 โดยไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้า 357.4 ล้านเหรียญสหรัฐ การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีปริมาณไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพ
| |
− |
| |
− | 2. การส่งออก ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2541 - 2545) การส่งออกมีมูลค่าเฉลี่ย 406.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2545 มีมูลค่า 413.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2544 ร้อยละ 14.3 โดยส่วนใหญ่ส่งออกสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมไปยังอินเดีย ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์
| |
− | สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องจักรกล ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ สิ่งทออื่นๆ
| |
− |
| |
− | 3. การนำเข้า ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2541 - 2545) การนำเข้ามีมูลค่าเฉลี่ย 587.9 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2545 มีมูลค่า 771.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ร้อยละ 14.9 โดยส่วนใหญ่ไทยนำเข้าวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง ทองคำ เคมีภัณฑ์ สินแร่โลหะ เหล็กและเหล็กกล้า กากน้ำมันพืช กุ้งสด น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรในอุตสาหกรรม เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
| |
− |
| |
− | 4. โอกาสในการขยายการค้า
| |
− |
| |
− | 4.1 จำนวนประชากรในอินเดียกว่า 1,000 ล้านคนเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้ารวมของ
| |
− | สองประเทศน้อยมากคือประมาณ 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งรสนิยมของตลาดระดับกลางและระดับ
| |
− | สูงซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของไทยต้องการสินค้าที่มีคุณภาพซึ่งอินเดียไม่มีขีดความสามารถในการผลิตปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวนิยมซื้อของผ่าน modern retail mall ที่เริ่มมีแล้วในอินเดีย
| |
− |
| |
− | 4.2 อินเดียดำเนินนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2534 โดยหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดแทนและพยายามเปิดเสรีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการลดภาษีนำเข้าและยกเลิกระบบจำกัดการนำเข้าตามพันธกรณีของ WTO รัฐบาลอินเดียได้ประกาศ พ.ร.บ. งบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจไทยมากขึ้นโดยการลดอัตราภาษีนำเข้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก เช่น น้ำหอม เครื่องหอม สบู่ ขนมหวาน น้ำอัดลม และวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมบางสาขา เช่น อุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ กระดาษ คอมพิวเตอร์ การลดภาษีศุลกากรลดลงจากเดิมเฉลี่ยที่ร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 25 อีกทั้ง ยังลดภาษีสรรพสามิตลงทำให้ความต้องการภายในประเทศเพิ่มขึ้น
| |
− |
| |
− | 4.3 จากการคาดการณ์ของกระทรวงการคลังอินเดียในปีงบประมาณ 2002 – 2003 จะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 6.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.4 ในปีก่อน
| |
− | การดำเนินการของ กศ.
| |
− |
| |
− | 1. การร่วมพิจารณากลุ่มสินค้าที่จะนำมาพิจารณาลดภาษีในสิ่งที่จะต้องเริ่มดำเนินการก่อน (Early Harvest) โดยมีแนวทางว่าสินค้าที่ไทยจะเสนอปรับลดอัตราอากรใน Early Harvest จะต้องเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศอินเดียและไทยจะต้องได้รับประโยชน์ในการปรับลดอัตราอากรของสินค้าเหล่านั้นในปัจจุบันหรือมีแนวโน้มในอนาคต
| |
− |
| |
− | 2.การร่วมพิจารณารูปแบบการปรับลดภาษีใน Early Harvest โดยมีจุดยืนที่ว่ากรอบระยะเวลาไม่ควรเกิน 3 ปี และลดลงเหลือร้อยละ 0 ทั้งสองฝ่ายเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
| |
− |
| |
− | 3. การร่วมพิจารณาเรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าซึ่งในภาพรวมภาคอุตสาหกรรมไทยรับได้ในหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ (1) Wholly Obtained (2) Local Content ร้อยละ 40 (3) Substantial Transformation พิกัดศุลกากร 6 หลัก
| |
− |
| |
− | ข้อคิดเห็น
| |
− |
| |
− | 1. การส่งออกสินค้าไทยไปยังอินเดียในปัจจุบันเผชิญปัญหาการส่งออกในเรื่องการตั้งกำแพงภาษีที่สูงและมาตรการที่มิใช่ภาษีของอินเดีย ซึ่งการทำ FTA จะทำให้อัตราภาษีการนำเข้าและมาตรการที่มิใช่ภาษีของอินเดียลดน้อยลง จะทำให้สินค้าจากไทยเข้าสู่ตลาดอินเดียได้มากขึ้น
| |
− |
| |
− | 2. การขาดข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับอินเดีย กฎระเบียบ และช่องทางการตลาด ซึ่งแต่เดิมภาคอุตสาหกรรมขาดข้อมูลที่ถูกต้องจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดอินเดีย แต่เมื่อมี FTA ไทย – อินเดีย จะสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างภาครัฐและเอกชนทั้งสองฝ่าย เกิดการสร้างเครือข่ายข้อมูลทั้งทางด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร การตลาด และกฎระเบียบต่างๆ มากขึ้น
| |
− |
| |
− | 3. หากพิจารณาอุตสาหกรรมในภาพรวมแล้ว พบว่า ถึงแม้ว่าอินเดียมีวัตถุดิบในประเทศ
| |
− | จำนวนมาก แต่หากพิจารณาการได้เปรียบในด้านราคาแล้ว ไทยอาจจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในการผลิตสินค้าในชั้นนี้อันเนื่องมาจากไทยมีเทคโนโลยีที่สูงกว่า คุณภาพของฝีมือแรงงาน ตลอดจนการประหยัดต่อสัดส่วน (Economy of Scale) แต่เมื่อมีการทำ FTA ของสองฝ่ายแล้วจะก่อให้เกิดการเกื้อกูลกันในทางการค้าและการใช้ทรัพยากรร่วมกันอันส่งผลประโยชน์ทั้งสองประเทศ
| |
− |
| |
− | 4. การพิจารณาเรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าภายหลังการลงนามของนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่าย จะมีการพิจารณาในรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงการจำแนกพิกัดของในแต่ละสินค้าในพิกัด 4 หลัก และร้อยละ Local Content ที่มีแหล่งกำเนิดร่วมกัน ซึ่งหากขาดความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาอาจจะกลายเป็นอุปสรรคทางการค้าซึ่งกันและกัน จึงจำเป็นที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดการขยายการค้าตรงตามเป้าประสงค์ในการจัดทำ FTA ที่แท้จริง
| |
− |
| |
− | สถานะปัจจุบัน
| |
− |
| |
− | การประชุม JNG ได้จัดการประชุมไปแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง โดยล่าสุดเป็นการประชุมครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2546 และสามารถสรุปผลสำเร็จในประเด็นที่คั่งค้างได้ทุกประเด็น อาทิ รายการสินค้าใน Early Harvest รูปแบบการปรับลดภาษี และกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin : ROO) ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
| |
− |
| |
− | 1.รายการสินค้าใน Early Harvest ทั้งสองฝ่ายมีการหารือถึงรายการสินค้าและ
| |
− | ได้เห็นชอบร่วมกันในการลดสินค้า (Common List) จำนวน 83 รายการ ครอบคลุมรายการสินค้าผลไม้
| |
− | อลูมิเนียม เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องจักรกล โดยมีมูลค่าการค้ารวมประมาณร้อยละ 7 ของมูลค่าการค้ารวม
| |
− |
| |
− | 2. รูปแบบการลดภาษี (Tariff Reduction Modality) ในรายการ Early Harvest
| |
− | เห็นควรให้มีการเริ่มการลดภาษีจริงในวันที่ 1 มีนาคม 2547 และสิ้นสุดในวันที่ 1 มีนาคม
| |
− | 2549 ใช้รูปแบบ Margin of Preference (MOP) ซึ่งจะเป็นการลดภาษีในรูปแบบ percentage โดยแบ่งเป็นร้อยละ 50 75 และ 100 ในวันที่ 1 มีนาคม 2547 1 มีนาคม 2548 และ 1 มีนาคม 2549 ตามลำดับ และในที่สุดแล้วจะลดลงเหลือร้อยละ 0 ตามกรอบเวลาที่กำหนด
| |
− |
| |
− | 3. กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin : ROO)
| |
− |
| |
− | แนวทางของ ROO มีดังนี้
| |
− |
| |
− | 3.1 สินค้าที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด (Wholly Obtained)
| |
− |
| |
− | 3.2. สินค้าที่ผลิตหรือชิ้นส่วนนำเข้าโดยผ่านการแปรสภาพที่มากเพียงพอ
| |
− | (Substantial Transformation) คือการใช้เกณฑ์การผลิตที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการจำแนกประเภทพิกัด 4 หลักตามข้อเสนอของฝ่ายอินเดีย และใช้เกณฑ์อัตราส่วนวัสดุที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศคู่ค้า (Local Content) ให้ถือสัดส่วนร้อยละ 40 ของราคา FOB ของสินค้า และ Operations Defined and Substantial Manufacturing Defined ขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบสินค้าจากประเทศที่ 3
| |
− | โดยอินเดียแจ้งว่าอุตสาหกรรมอินเดียสามารถทำตามแนวทาง ROO ได้ทั้งสิ้น แต่ได้เปิดช่องว่าหากอุตสาหกรรมหนึ่งอุตสาหกรรมใดของไทยไม่สามารถทำตาม ROO ข้างต้นได้ให้ส่งรายละเอียดมาให้อินเดียภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2546 เพื่ออินเดียจะพิจารณาลดหย่อน ROO ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมนั้นๆ ของไทย ซึ่งจะมีการประชุม ROO Expert Group ในเรื่องดังกล่าวในเดือนพฤศจิกายน 2546 ณ ประเทศอินเดีย
| |
− |
| |
− | 4. ได้มีการลงนาม FTA Thai – India ของทั้งสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
| |
− |
| |
− | 6.1.3. ไทย-จีน
| |
− |
| |
− | เขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ :
| |
− |
| |
− | การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย-จีน
| |
− |
| |
− | ภูมิหลัง
| |
− |
| |
− | 1. การเจรจาจัดตั้งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2002 โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 กรอบ
| |
− | คือ 1) กรอบภูมิภาค ซึ่งอยู่ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน โดยมีไทยเป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายอาเซียน ครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 2) กรอบทวิภาคี เขตการค้าเสรีไทย-จีน ซึ่งดำเนินการภายใต้กรอบการค้าเสรี อาเซียน-จีน โดยเร่งให้มีผลการเปิดเสรีที่เร็วกว่ากรอบ อาเซียน-จีน ทั้งนี้ การเจรจาของทั้ง 2 กรอบดำเนินการในลักษณะคู่ขนานกันไป
| |
− | เขตการค้าเสรี ไทย-จีน
| |
− |
| |
− | 2.ในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2546
| |
− | ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายจู หรงจี เกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าระหว่าง ไทย-จีน โดยฝ่ายไทยได้ขอทราบท่าทีของจีนต่อข้อเสนอของไทยที่น่าจะมีกาารดำเนินการด้านการค้าเสรีในส่วนของไทยกับจีนขึ้นมาก่อน เนื่องจากมีความพร้อมสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยอาจเริ่มจากผัก ผลไม้ ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ ที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมร่วมกันต่อไป ซึ่งฝ่ายจีนโดยนายกรัฐมนตรีจู หรงจี ให้ทัศนะว่า ยังมีอาเซียนหลายประเทศที่ยังหวาดระแวงต่อท่าทีของจีนเกรงว่าหากจีนกับไทยดำเนินการกันในกรอบทวิภาคี ยิ่งจะทำให้จีนถูกประเทศเพื่อนบ้านหวาดระแวงมากขึ้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายจึงขอให้นำการลดภาษีศุลกากรระหว่างกันเหลือร้อยละ 0 สำหรับสินค้าผักและผลไม้บรรจุเข้าใน Early Harvest ภายใต้กรอบใหญ่ของเขตการค้าเสรี อาเซียน-จีน
| |
− |
| |
− | 3.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งได้ร่วมเดินทางไปเยือนจีน ได้หารือกับนาย Wei Jianguo รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจของจีน(MOFTEC) เกี่ยวกับแนวทางดำเนินการตามที่ผู้นำสองฝ่ายตกลงกัน และได้มอบหมายให้หน้าที่ระดับสูงเจรจาในรายละเอียดต่อไป
| |
− |
| |
− | 4.เมื่อวันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2546 กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอร่างความตกลงยกเลิกภาษีสินค้าผักและ ผลไม้ ซึ่งเป็นความตกลงพิเศษเฉพาะระหว่างไทยกับจีน แต่อยู่ภายใต้กรอบการทำ FTA อาเซียน-จีน (ตาม Framework Agreement ที่ผู้นำประเทศอาเซียนได้ลงนามกันเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 และในปี 2546/2547 ได้มีการเจรจาในรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้ง FTA) ให้ฝ่ายจีนพิจารณา ซึ่งจีนไม่ขัดข้องในหลักการ แต่เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว จีนอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนคณะผู้บริหาร จึงขอเวลาเพื่อพิจารณาตอบกลับ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือเร่งรัดฝ่ายจีนไปด้วยแล้ว
| |
− |
| |
− | 5.กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมเขตการค้าเสรี เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2546 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ซึ่งในส่วนของการเตรียมความพร้อมสำรับการเปิดเสรี ผัก-ผลไม้ ที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะทำงานและให้ภาคเอกชนเป็นแกนนำหรือร่วมกันกับหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการตลาดและการส่งเสริมการส่งออกสู่ตลาดจีน
| |
− | สถานะปัจจุบัน
| |
− |
| |
− | ขณะนี้อยู่ในการพิจารณาในเรื่อง Modality ในการลดภาษีภายใต้ Normal Track ซึ่งในท่าทีของประเทศไทยเห็นควรให้ใช้รายการสินค้า 60% โดยหากมีรายการใดที่คิดว่าเป็น Sensitive Products ให้ย้ายไปอยู่ใน Sensitive List ส่วนรายการใน Sensitive List เห็นควรเป็นรายการสินค้า 40% ที่ยังไม่ได้ปรับลดเป็น 0% แต่หากมีรายการใดไม่จำเป็นต้องจัดไว้ใน Sensitive List ให้ย้ายไปอยู่ใน Normal List
| |
− |
| |
− | 6.อัตราภาษีในแต่ละกลุ่มและระยะเวลาในการปรับลดภาษีที่เป็นท่าทีของฝ่ายไทย
| |
− |
| |
− | ประเภท อัตราสุดท้าย ระยะเวลาการดำเนินงาน
| |
− |
| |
− | Early Harvest 0% 3 ปี
| |
− |
| |
− | Normal Track 0 – 5% 7 – 10 ปี
| |
− |
| |
− | Sensitive 5 – 30% 10 ปี
| |
− |
| |
− | 7.ในท่าทีของ อก. ควรยืนยันท่าทีดังข้อ 8 – 9 และควรพิจารณาเพิ่มเติมมาตรกันกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) รวมทั้งเตรียมความพร้อมในด้านการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากจีนเข้ามาทะลักในประเทศไทย
| |
− |
| |
− | 8.การประชุม ASEAN – China ครั้งต่อไปจะเป็นครั้งที่ 8 แต่ยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน โดยจะคุยถึงเรื่อง Modality การปรับลดอัตราภาษีของสินค้าใน Normal Track
| |
− |
| |
− |
| |
− | 6.1.4.ไทย-บาห์เรน
| |
− |
| |
− | เขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย – บาห์เรน
| |
− |
| |
− | ภูมิหลัง
| |
− |
| |
− | 1. วัตถุประสงค์ในการจัดทำ CEP กับบาห์เรน คือ การใช้บาห์เรนเป็น Gateway ในการกระจายสินค้าของประเทศไทยเข้าสู่กลุ่มประเทศคณะมนตรีความมั่นคงอาหรับ (Gulf Cooperation Council - GCC) อันประกอบด้วย บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ นอกจากนี้ ไทยยังได้เปรียบในการเปิดตลาดบริการกับบาห์เรนและการลงทุนในการจัดตั้ง Islamic Bank
| |
− |
| |
− | 2. กรอบความตกลงการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจ (Framework Agreement) ไทยและบาห์เรน ได้มีการลงนามร่วมกันใน Framework Agreement โดยมีใจความครอบคลุมเนื้อหาอย่างกว้างขวางในเรื่องการลดภาษีสินค้า การเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจสาขาต่างๆ เช่น สาขาพลังงาน การเงิน การธนาคาร การผลิต การประกันภัย การประมง ตลอดจนการยอมรับร่วมในมาตรฐานสินค้าระหว่างกัน ซึ่ง Framework Agreement ฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบใน ครม. ของฝ่ายไทยแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2545 โดยผู้ลงนามฝ่ายไทยคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ดร.อดิศัย โพธารามิก) และฝ่ายบาห์เรนคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจแห่งชาติ (อับดุลลา ฮัสซัน ซาอิฟ)
| |
− | ความคืบหน้า ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านเทคนิค ไทย – บาห์เรน ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 18 – 20 กุมภาพันธ์ 2546 ณ กรุงมานามาร์ ประเทศบาห์เรน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
| |
− |
| |
− | (1) ฝ่ายไทยและบาห์เรนได้เห็นชอบร่วมกันในการปรับลดอัตราภาษีจำนวน 626 รายการ (รหัสศุลกากร 6 หลัก) โดยปรับลดให้เหลือร้อยละ 0 จำนวน 419 รายการ และร้อยละ 3 จำนวน 207 รายการ โดยสินค้า 626 รายการ (เอกสารแนบ 2) มีมูลค่าการค้ารวมของทั้งสองประเทศ 2,696 ล้านบาท (64.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) (คิดเป็นร้อยละ 71.4) ในจำนวนนี้มูลค่าที่ไทยส่งออกไปยังบาห์เรน 1,109 ล้านบาท (26.4 ล้านเหรียญสหรัฐ) และไทยนำเข้าจากบาห์เรน 1,587 ล้านบาท (37.8 ล้านเหรียญสหรัฐ)
| |
− |
| |
− | (2) เรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ได้เห็นชอบที่จะใช้ Rules of Origin เดียวกับ AFTA ตามที่ฝ่ายไทยเสนอคือใช้ Local Content ร้อยละ 40 อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบาห์เรนขอไปพิจารณาเพิ่มเติมในขั้นตอนการออกใบรับรอง FORM D ให้กับสินค้าไทยที่จะส่งไปยังบาห์เรน และจะแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบต่อไป
| |
− |
| |
− | สถานะปัจจุบัน ได้มีการลงนามใน CEP ของทั้งสองประเทศแล้ว
| |
− |
| |
− | 6.1.5. ไทย-เปรู
| |
− |
| |
− | ไทย-เปรู
| |
− |
| |
− | ทั้งสองฝ่ายจะจัดทำกรอบความตกลงเพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-เปรู โดยครอบคลุมในเรื่องการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่นๆ ได้แก่การขนส่ง และการท่องเที่ยว ซึ่ง
| |
− | 1) ได้มีการหารือระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสไทย-เปรู รวม 2 ครั้ง 2) การศึกษาเบื้องต้น กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ระหว่างไทย-เปรู โดยเปรียบเทียบภาพรวมทางเศรษฐกิจ การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การขนส่ง และเขตการค้าเสรี ของทั้งสองประเทศ สรุปได้ว่าการเปิดเสรีจะไม่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในทุกสาขาที่ศึกษา 3) การจัดทำกรอบความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น มีสาระสำคัญ ดังนี้ 3.1) วัตถุประสงค์เพื่อเปิดเสรีและส่งเสริมการค้าสินค้า บริการ รวมทั้งการลงทุนระหว่างประเทศ และอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการระหว่างเขตแดนของทั้งสองประเทศ 3.2) ทั้งสองฝ่ายจะลดหรือยกเลิกภาษีศุลกากร และลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีสำหรับสินค้าภายในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) 3.3) จะเปิดเสรีการค้าบริการ อำนวยความสะดวกด้านการลงทุนและให้ความคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน 3.4) ขยายความร่วมมือในสาขาอื่นๆ โดยเริ่มจากความตกลงที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น ในด้านการท่องเที่ยว และการขนส่ง เป็นต้น 3.5) ให้มีความโปร่งใสของข้อมูลทั้งกฎหมาย กฎระเบียบและข้อมูลทางเศรษฐกิจ 3.6) จัดตั้งคณะกรรมการเจรจาเปรู-ไทย (Peru-Thailand Negotiation Committee) 3.7) เริ่มเจรจารายละเอียดการเปิดเสรีภายในมกราคม ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) เป็นอย่างช้าและให้เสร็จสิ้นในปี 2005 4) ทั้งสองฝ่ายตกลงรับร่างกรอบความตกลงฯ กันได้แล้ว และจะมีการลงนามความตกลงฯระหว่างการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก ในเดือนกันยายน 2546
| |
− |
| |
− | 6.1.6.ไทย-ญี่ปุ่น
| |
− |
| |
− | กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น
| |
− |
| |
− | Japan-Thailand Closer Economic Partnership (JTEP)
| |
− |
| |
− | ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม
| |
− |
| |
− | ภูมิหลัง
| |
− |
| |
− | 1. ในการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม 2545 ผู้นำไทยและญี่ปุ่นได้ย้ำ ความเห็นชอบเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น (Closer Economic Partnership : CEP) ภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น เพื่อผลักดันความร่วมมือที่ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์รวมทั้งการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
| |
− |
| |
− | 2. เดือนกุมภาพันธ์ 2546 นายMakio Miyagawa ผู้อำนวยการกองนโยบายภูมิภาค กระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนไทยและเสนอให้ไทยพิจารณาใช้เอกสารข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจัดทำกับประเทศสิงคโปร์เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี (Agreement between Japan and the Republic of Singapore for New – Age Economic Partnership) เป็นตัวอย่างในการจัดทำ CEP ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยขอให้มีความครอบคลุมในทุกเรื่อง ไม่เฉพาะด้านการค้าเท่านั้น
| |
− |
| |
− | 3. เมื่อ 12 เมษายน 2546 นายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้หารือระหว่างการเข้าร่วมการประชุม Boaao Forum for Asia ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และย้ำความเห็นชอบในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น โดยขอให้นำเอาความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ (Japan-Singapore New – Age Economic Partnership : JSEPA) เป็นตัวอย่างในการจัดทำข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยอาจพิจารณาสาขาที่เป็นปัญหาน้อยที่สุดก่อน
| |
− |
| |
− | 4. ที่ประชุมหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกรกฎาคม 2545 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำความตกลง CEP ไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Closer Partnership : JTEP) เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
| |
− |
| |
− | 5. คณะทำงาน JTEP มีนาย Makio Miyagawa ผู้อำนวยการกองนโยบายภูมิภาค กระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนญี่ปุ่น และนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะผู้แทนทั้งสองฝ่าย
| |
− |
| |
− | 6. คณะทำงานฯ ได้ดำเนินงานเพื่อจัดเตรียม substantive groundwork สำหรับการเจรจาจัดทำความตกลง JTEP รวมทั้งการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTA) ที่จะมีการเจรจาอย่างเป็นทางการต่อไป โดยญี่ปุ่นมุ่งหวังที่จะให้การเจรจามีผลเป็นการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ญี่ปุ่นได้ทำความตกลงกับสิงคโปร์และขยายความร่วมมือกับเศรษฐกิจไทยในทุกด้าน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นต้องกันว่าการดำเนินงานควรอยู่บนพื้นฐานการปฏิบัติต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกัน
| |
− | การดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม
| |
− |
| |
− | 7. สาระสำคัญของความตกลง JSEPA ประกอบด้วยบทต่างๆ รวม 22 บท และกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายเกี่ยวกับความร่วมมืออุตสาหกรรมด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และความร่วมมือด้านการยอมรับร่วม(MRA) โดยได้ดำเนินงานพิจารณายกร่างเนื้อหาสาระทั้งสองสาขาความร่วมมือที่จะบรรจุไว้ในความตกลง JTEP ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เป็น หน่วยงานหลักในการจัดประชุมและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและยกร่างเนื้อหา อาทิ ข้อบท (Chapter) และมาตราต่างๆ ตามสาขาที่รับผิดชอบ
| |
− |
| |
− | 8. สศอ. ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดเตรียมแนวทางในการเจรจากับประเทศญี่ปุ่นตามแนวร่างข้อตกลง JSEPA ตามที่ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอ โดยได้มีการพิจารณาเปลี่ยนแปลง แก้ไข และเพิ่มเติมส่วนของ Article โดยดำเนินการบนพื้นฐานปฏิบัติการต่างตอบแทนและการรับผลประโยชน์ร่วม (Mutual Benefit)
| |
− |
| |
− | 9. ความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สศอ. ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่นด้าน SMEs (Joint Committee on SMEs) ซึ่งญี่ปุ่นเห็นด้วยตามข้อเสนอดังกล่าว โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันพิจารณาความ ร่วมมือและกิจกรรมหลักด้าน SMES ที่จะบรรจุไว้ในข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติ (Implementing Agreement) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันต่อไป
| |
− |
| |
− | 10. ความร่วมมือด้านการยอมรับร่วม (Mutual Recognition/Standard and Conformance) สศอ. ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเสนอให้ญี่ปุ่นพิจารณายอมรับมาตรฐานร่วมกันในการตรวจสอบสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (MRA on Testing Report) ซึ่งญี่ปุ่นมีข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานของไทย แต่เห็นชอบในหลักการที่จะดำเนินความ ร่วมมือดังกล่าว โดยทั้งสองประเทศต้องร่วมกันศึกษาในรายละเอียดและขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยฝ่ายญี่ปุ่นเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินความร่วมมือด้าน MRA กับไทย แต่เนื่องจากความแตกต่างเรื่องระบบ วิธีการรับรองและความสามารถของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ญี่ปุ่นยังไม่สามารถจัดทำ MRA กับไทยในลักษณะเดียวกับที่ทำกับประเทศสิงคโปร์ภายใต้กรอบ JSEPA ได้
| |
− |
| |
− | 11. คณะทำงาน JTEP จัดประชุมรวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เมื่อวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2546 ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำสรุปผล การประชุมคณะทำงานฯ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ โดยในวันที่ 4-7 มิถุนายน 2546 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มีกำหนดเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่นายก รัฐมนตรีทั้งสองจะประกาศเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการ และอาจกำหนดให้การเจรจาทำความตกลงเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม ศกนี้
| |
− | ข้อสังเกต
| |
− |
| |
− | 12. แม้ว่าคณะทำงาน JTEP ดำเนินการคืบหน้าไปมากในการเตรียมการเจรจาและกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้พยายามผลักดันให้มีการเปิดเจรจากับไทยอย่างเต็มที่ แต่การเปิดเจรจาจัดทำความตกลง JTEP ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นยังประสบปัญหา เนื่องจากกระทรวงเกษตรและประมงของญี่ปุ่นยังคัดค้านเนื่องจากการจัดทำความตกลงกับไทยจะทำให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นต้อง ลดภาษีสินค้าเกษตรบางส่วนสู่ระดับ 0% ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ไม่ต้องการให้มีผลกระทบใดๆ ต่อภาคเกษตรของญี่ปุ่น จึงพยายามชะลอการเปิดเจรจากับไทย
| |
− |
| |
− | 13. กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งพยายามผลักดันให้มีการเปิดเจรจากับไทยโดยเร็วนั้น เห็นว่าเนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่นได้ระบุว่าในการค้าสินค้ากับไทย สินค้าเกษตรที่สำคัญและเป็นสินค้า อ่อนไหวมี 4 รายการได้แก่ ข้าว น้ำตาล เนื้อไก่ และแป้งสตาร์ช โดยข้าวเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหว ทางการเมืองมากที่สุด จึงเสนออย่างไม่เป็นทางการเพื่อหาทางออกเพื่อให้มีการเปิดเจรจาว่าขอให้ฝ่ายไทย ตกลงว่าจะไม่เรียกร้องให้ญี่ปุ่นลด/เลิกภาษีศุลกากรที่เก็บจากการนำเข้าสินค้า 4 รายการดังกล่าวเพื่อเป็นทางออกให้กระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่น ยอมรับได้
| |
− |
| |
− | 14. ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นการตั้งเงื่อนไขสำหรับการเปิดเจรจาจัดทำความตกลง JTEP กับไทยโดยเป็นการขอให้ไทยสละผลประโยชน์บางส่วนที่ควรได้รับจากญี่ปุ่น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า 4 รายการในปี 2545 รวมทั้งสิ้น 602.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 21.95% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปญี่ปุ่น หรือ 6.02% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยไปญี่ปุ่น
| |
− |
| |
− | ความคืบหน้า
| |
− |
| |
− | 15. หลังจากการพบและหารือกันของนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ประกาศเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ โดยฝ่ายญี่ปุ่นเสนอให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นผลกระทบในสินค้าเกษตร และทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในการจัดตั้งคณะเฉพาะกิจความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA Task Force) ซึ่งมีองค์ประกอบของผู้เข้าร่วมการประชุมที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เช่น นักวิชาการ แนวร่วมภาคการเกษตร และภาคเอกชน เพื่อหารือในการจัดทำความตกลงไทย-ญี่ปุ่นต่อไป
| |
− |
| |
− | 16. การประชุม JTEPA Task Force ครั้งที่ 1 มีขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่น และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 24 – 27 สิงหาคม 2546 ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันต่อ ในประเด็นความร่วมมืออุตสาหกรรม โดยได้หารือในรายละเอียดและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้าน MRA โดยฝ่ายไทยพยายามผลักดันให้ภาครัฐของญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในการดำเนินความร่วมมือด้าน MRA ให้มากยิ่งขึ้น และได้เสนอการใช้มาตรฐานระหว่างประเทศ ซึ่งได้แก่ ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานกลางในการดำเนินความร่วมมือ ซึ่งญี่ปุ่นเห็นชอบด้วยในหลักการในเบื้องต้น และจะนำข้อเสนอดังกล่าวกลับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
| |
− |
| |
− | 17. หลังจากการประชุมดังกล่าว ญี่ปุ่นได้ประสานส่ง Non-Paper ชี้แจงถึงระเบียบและขั้นตอนของญี่ปุ่นในการนำเข้าสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเสนอขอให้ไทยยอมรับรูปแบบการจัดทำ Test Report ตามมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวเป็นแนวทางปกติที่ภาคเอกชนไทยดำเนินการอยู่โดยไม่ต้องทำความตกลง JTEP ก็ได้ หากไทยยอมรับข้อเสนอดังกล่าว จะทำให้ไทยต้องแก้กฎหมาย
| |
− | ภายใน เพื่อรองรับผลประโยชน์ของญี่ปุ่นเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งความพยามยามของไทยในการผลักดันให้มีการใช้มาตรฐานระหว่างประเทศนั้น จะทำให้ทั้งสองประเทศมีสถานะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมและบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefit)
| |
− |
| |
− | 18. การประชุม JTEPA Task Force ครั้งที่ 3 มีขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2546 ที่จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น การประชุมครั้งนี้ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้าน MRA เข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ดีหลังการประชุมฝ่ายไทยได้ประสานส่งข้อมูลเพิ่มเติ่มเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกในการยอมรับ Test Report ตามรูปแบบที่ไทยเสนอ ส่วนความตกลงเรื่อง SMEs เนื่องจากสามารถตกลงเรื่องการจัดตั้ง Joint Committee on Smes ได้แล้ว จึงหารือเกี่ยวกับการจัดทำรายงานผลการประชุมเพื่อส่งเรื่องสู่กระบวนการเจรจาต่อไป
| |
− |
| |
− | 19. นอกจากความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมใน 2 ประเด็นข้างต้นแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมยังเข้าร่วมหารือในเรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบกับหลักเกณฑ์การแบ่งกลุ่มสินค้าในการพิจารณาแหล่งกำเนิด 3 ประเภท ได้แก่สินค้าที่กำเนิดหรือผลิตโดยใช้วัตถุดิบในประเทศทั้งหมด (Wholly Obtain) สินค้าที่ผลิตโดยใช้วัตถุดิบนำเข้าที่มีการเปลี่ยนแปลง/แปรรูปอย่างมีนัยสำคัญ (Substantial Transformation/Chang in Tariff Clarification-CTC) และหลักการใช้มูลค่าเพิ่ม (value Added) โดยภายใต้การได้แหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Substantial Transformation/Chang in Tariff Clarification-CTC นั้น ไทยเสนอให้ใช้ Harmonized Code ในระดับ 6 หลักเป็นเกณฑ์ในการเปลี่ยนแปลง/แปรรูปอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้ได้แหล่งกำเนิดสินค้าตามหลักเกณฑ์ขององค์การศุลากรโลก ในขณะที่ญี่ปุ่นเสนอการใช้ Harmonized Code ระดับ 4 หลัก ส่วนเรื่องการกำหนดสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่จะทำให้ได้รับการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้านั้น ไทยเสนอการใช้สัดส่วนวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศ 40% ของราคา F.O.B ส่วนญี่ปุ่นเสนอที่ 60% วึ่งข้อถกเถียงดังกล่าวจะนำไปหารือในขั้นตอนการเจรจา (Negotiation Phase) ต่อไป
| |
− |
| |
− | 20. การประชุม JTEPA Task Force ครั้งที่ 3 นี้คาดว่าจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองประเทศจะเริ่มขั้นตอนการเจรจาอย่างเป็นทางการในต้นปีหน้าต่อไป
| |
− | กองเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ
| |
− | สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
| |
− |
| |
− | 6.1.7.ไทย-บังกลาเทศ
| |
− |
| |
− | การลดภาษีศุลกากรให้แก่บังกลาเทศ
| |
− |
| |
− | ภูมิหลัง
| |
− |
| |
− | 1. ในการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 8 – 10 กรกฎาคม 2545 นายก รัฐมนตรีของบังกลาเทศขอให้ฝ่ายไทยพิจารณา Duty Free Access กับสินค้าบังกลาเทศที่ส่งมาขายในไทยจำนวน 231 รายการ ได้แก่ ปอกระเจาและผลิตภัณฑ์ปอ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง อาหารแช่เย็นและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เวชกรรม และพืช ผัก ผลไม้แปรรูป เป็นต้น
| |
− |
| |
− | 2. มีการหารือในรายการสินค้าดังกล่าวกับภาคราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการพิจารณารายการสินค้า 231 รายการข้างต้น และผลการพิจารณาว่าสามารถลดอัตราภาษีให้กับบังกลาเทศได้ จำนวน 128 รายการ โดยได้นำเสนอ ครม. เพื่อมอบหมายให้กระทรวงการคลังออกประกาศลดภาษีให้แก่บังกลาเทศ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546
| |
− |
| |
− | 3. กระทรวงการคลังได้ตรวจสอบรายการสินค้าทั้ง 128 รายการพบว่า มีจำนวน 41 รายการ ได้แก่ ปอกระเจา อาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม จึงไม้เห็นควรที่จะปรับลดอัตราภาษีจำนวน 41 รายการดังกล่าว ต่อมากระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งข้อเท็จจริงว่าสินค้าจำนวน 41 รายการนั้น มีการนำเข้าจากบังกลาเทศเฉพาะกุ้งแช่เย็นแช่แข็ง มูลค่าเพียง 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และเป็นวัตถุดิบที่นำเข้ามาเพื่อการผลิตและการส่งออกจึงไม่น่าจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการไทย และเห็นควรให้ลดภาษีจำนวน 128 รายการให้แกบังกลาเทศตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งแก่ประธานาธิบดีบังกลาเทศแล้ว
| |
− | สถานะขณะนั้น
| |
− |
| |
− | คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในการปรับลดภาษีให้บังกลาเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2546 จำนวน 128 รายการ และถูกจัดว่าเป็น First Phase
| |
− |
| |
− | สถานะปัจจุบัน
| |
− | อยู่ขณะการพิจารณาลดภาษีศุลกากรให้แก่สินค้าบังกลาเทศใน Second Phase ซึ่งครอบคลุม 10 ประเภทสินค้า ได้แก่ รองเท้า สายไฟ เครื่องสำอาง อาหารปรุงแต่ง เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก หม้อแปลงไฟฟ้า เคหะสิ่งทอ ชา และ Zipper ซึ่งท่าทีของ สศอ. คือสามารถปรับลดภาษีให้ได้ทั้งหมดโดยปรับให้ลดลงเหลือร้อยละ 5 เท่ากับ AFTA แต่ข้อตั้งข้อสังเกตุในเรื่อง 1. ความปลอดภัยของผู้บริโภค 2. กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า
| |
− |
| |
− | 6.2. กรอบความร่วมมือของ ASEAN กับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ
| |
− |
| |
− | 6.2.1.อาเซียน-จีน
| |
− |
| |
− | อาเซียน-จีน
| |
− |
| |
− | กรอบความร่วมมือนี้ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ทั้งนี้ในด้านการค้าสินค้า (Trade in Goods) มีการลดภาษีแบ่งเป็น 3 ประเภท โดยใช้ Applied MFN ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เป็นเกณฑ์ดังนี้
| |
− |
| |
− | 1. การลดภาษีสินค้ากลุ่มแรก (Early Harvest Programme for Trade in Goods) ครอบคลุมสินค้าเกษตรในตอนที่ 01-08 มีกรอบระยะเวลา 3 ปี สำหรับสมาชิกเดิม 6 ประเทศและจีน ดังนี้
| |
− |
| |
− | ปี 2547 ปี 2548 ปี 2549
| |
− |
| |
− | อัตราภาษีมากกว่า 15% 10% 5% 0%
| |
− |
| |
− | อัตราภาษี 5%-15% 5% 0% 0%
| |
− |
| |
− | อัตราภาษีน้อยกว่า 5% 0% 0% 0%
| |
− |
| |
− | 2. การลดภาษีปกติ (Normal Track) กำหนดกรอบให้เริ่มลดภาษีตั้งแต่ 1 มกราคม 2548 จนถึง 2553 สำหรับอาเซียนเดิม 6 ประเทศและจีน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำแนวทางการลดภาษี (Modality) โดยให้ระยะเวลาเพื่อเจรจาจัดทำจนถึง 30 มิถุนายน 2547
| |
− |
| |
− | 3. การลดภาษีสินค้าอ่อนไหว (Sensitive Track) กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากำหนดแนวทางการลดภาษี
| |
− | นอกจากนี้ ได้มีการลงนามในความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย-จีน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมเรื่องการลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ทุกรายการตามพิกัดศุลกากร ตอนที่ 07-08 (116 รายการ ตามพิกัดศุลกากร 6 หลัก) ให้เหลือ 0% ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2546
| |
− | ผลจากการลงนาม ช่วยให้เกิดการขยายการค้าในสินค้าพืช ผัก และผลไม้ ระหว่างกัน และวางแนวทางสำหรับการเปิดเสรีในสินค้าอื่น ๆ ระหว่างไทยและจีน โดยต่อไปทั้งสองฝ่ายสามารถจะเจรจาเพื่อขยายขอบเขตของสินค้าที่จะนำมาเร่งลดภาษีสู่การจัดทำเขตการค้าเสรี ไทย-จีนอย่างสมบูรณ์ในที่สุด ซึ่งเป็นนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญของรัฐบาลไทย
| |
− | สถานะล่าสุด
| |
− |
| |
− | 1. การลดภาษีสินค้ากลุ่มอื่น อยู่ระหว่างการเจรจา โดยในขณะนี้อาเซียนเดิม 6 ประเทศกับจีน สามารถตกลงในเบื้องต้นต่อรูปแบบการลดภาษี (Modality) ที่จะเป็นกรอบการลดภาษีสินค้า Normal Track สำหรับ Sensitive Track อาเซียนและจีนอยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยนรายการสินค้าและจำกัดไม่ให้มีรายการสินค้ามากเกินไป โดยกำหนดเจรจาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2547
| |
− |
| |
− | 2. การค้าบริการ อยู่ระหว่างเจรจาในส่วนของ Early Harvest Programme ด้านการค้าบริการ การจัดทำร่างความตกลงฯ และรูปแบบการเจรจาเปิดตลาดการค้าบริการ โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2547
| |
− |
| |
− | 3. การลงทุน อยู่ระหว่างหารือหลักการ ทั่วไปของความตกลงด้านการลงทุนและการแลกเปลี่ยน Negative List ระหว่างอาเซียน-จีน
| |
− |
| |
− | 4. แหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin ) อยู่ระหว่างการหารือเรื่องการกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ และการพิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับวิธีพิจารณาแหล่งกำเนิดสินค้าบางรายการ ทั้งนี้ คณะเจรจาอาเซียน-จีน จะรายงานผล
| |
− |
| |
− | การเจรจาเสนอผู้นำอาเซียน-จีน ในเดือนตุลาคม 2546 นี้
| |
− |
| |
− | ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย
| |
− |
| |
− | 1. ผลกระทบในระยะสั้น : AFTA อาจทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ส่วนหนึ่งจากอัตราภาษีนำเข้าที่ลดลงและทำให้อุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการผลิตต่ำและไม่มีความสามารถในเชิงแข่งขันได้รับผลกระทบ อาทิ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เพิ่มเริ่มก่อตั้ง อาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับสิงคโปร์ซึ่งประกอบการมานานแล้ว นอกจากนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยเสียเปรียบด้านวัตถุดิบจะมีปัญหาการแข่งขันกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมทั้งสินค้าสำเร็จรูปที่มีการลดภาษีใน AFTA แล้วแต่เป็นสินค้าที่ต้องอาศัยวัตถุดิบนำเข้าจากนอกอาเซียน ซึ่งไทยมีอัตราภาษีนำเข้าในระดับสูง เช่น วัตถุดิบของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุสำหรับผลิตเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
| |
− |
| |
− | 2. ผลประโยชน์ในระยะยาว : AFTA จะส่งประโยชน์ต่อประเทศไทยดังนี้
| |
− |
| |
− | - การลดภาษีของอาเซียนจะทำให้สินค้าที่ไทยส่งออกไปอาเซียนมีราคาถูกและสามารถแข่งขันกับประเทศนอกกลุ่มได้
| |
− |
| |
− | - การลดภาษีของไทยจะทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากอาเซียนในราคาถูก ซึ่งจะมีผลต่อการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก
| |
− |
| |
− | - ผู้บริโภคสามารถบริโภคสินค้าอุปโภค บริโภค ในราคาถูกลง
| |
− |
| |
− | - การขยายฐานตลาดจะทำให้อาเซียนเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economics of scale) และได้รับประโยชน์จากหลักการได้เปรียบอันเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
| |
− |
| |
− | - การแข่งขันกันภายในอาเซียนจะทำให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพและพัฒนาเทคโนโลยี
| |
− |
| |
− | - การขยายการนำเข้าและการส่งออกภายในอาเซียน จะทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพาการค้ากับกลุ่มอื่นลดลง
| |
− |
| |
− | ทั้งนี้ เมื่อมองภาพเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ไทยและอาเซียนต่างก็จะได้รับประโยชน์จาก AFTA แต่จะมากน้อยกว่ากันนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของภาครัฐและภาคเอกชนในแต่ละประเทศ ทั้งนี้ นับแต่มีการก่อตั้ง AFTA เป็นต้นมา การค้าระหว่างไทยและอาเซียนขยายตัวขึ้นมากและมูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
| |
− |
| |
− | 6.2.2. อาเซียน-อินเดีย
| |
− |
| |
− | อาเซียน-อินเดีย
| |
− |
| |
− | คณะทำงานว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและอินเดีย (ASEAN-India Economic Linkages Task Force) อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำ Draft Framework Agreement on Economic Cooperation between ASEAN and India ซึ่งรวมทั้ง Early Harvest Package ประกอบด้วยสินค้าที่จะตกลงกันลดภาษีลงเหลือร้อยละ 0 ภายในปี 2549 และจะนำ Draft Framework Agreement ดังกล่าวส่งให้ที่ประชุม SEOM-India พิจารณาก่อนเสนอต่อที่ประชุม AEM-India ครั้งที่ 2 เพื่อพิจารณา และนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 2 เพื่อให้ผู้นำลงนามภายในสิ้นปี 2546 การศึกษาถึงแนวทางในการเชื่อมโยงอินเดียเข้ากับเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ ของทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการศึกษาอยู่นั้น สามารถใช้เป็นแนวทางในการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ความพยายามที่จะจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอินเดียกับสิงคโปร์ที่มุ่งจะก้าวไปสู่การค้าเสรี ระหว่างอินเดีย - สิงคโปร์ จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ต้องหันไปกระชับความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียมากยิ่งขึ้น
| |
− | ปัจจุบัน ประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ และอินเดีย มีฉันทามติในการลดภาษีสินค้า จำนวน 116 รายการ ส่วนเรื่อง Rules of Origin และ Modality ในการปรับลดภาษียังไม่มีการตกลงกัน
| |
− |
| |
− | 6.2.3. อาเซียน-ญี่ปุ่น
| |
− |
| |
− | อาเซียน-ญี่ปุ่น
| |
− |
| |
− | ผู้นำอาเซียนและญี่ปุ่นได้ลงนามใน Joint Declaration on ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP (ตามแนวทางข้อเสนอแนะของ Expert Group) ในการประชุมผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2545 ณ กรุงพนมเปญ และเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการความร่วมมือพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Committee on Comprehensive Economic Partnership : AJCCEP) เพื่อจัดทำ Comprehensive Economic Partnership Framework และนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม 2546 เพื่อให้ผู้นำลงนามใน CEP Framework ปัจจุบันคณะกรรมการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง Framework ที่ฝ่ายอาเซียนและญี่ปุ่นได้เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ แนวทางการจัดตั้ง AJCEP ขอบเขตการเปิดเสรี และความร่วมมือในด้านต่างๆรวมทั้งความเชื่อมโยงระหว่าง FTA ภายใต้ AJCEP นี้ กับระดับทวิภาคี (ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เริ่มเจรจาหารือกับญี่ปุ่น)
| |
− |
| |
− | 6.2.4. อาเซียน-สหรัฐอเมริกา
| |
− |
| |
− | อาเซียน-สหรัฐอเมริกา
| |
− |
| |
− | ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 34 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2543 จึงได้เสนอให้รื้อฟื้นการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ (AEM-USTR Consultations) ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นผลให้ได้มีการประชุม AEM-USTR Consultations อีกครั้งหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนเมษายน 2545 โดยทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะจัดทำแผนงานความร่วมมือระหว่างกันที่ครอบคลุมถึงการค้า การลงทุน การเกษตร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเสริมสร้างขีดความสามารถ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานสินค้า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ศุลกากร วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น
| |
− |
| |
− | ปริมาณการค้า ในปี 2543 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากอาเซียน 87,945 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 7.2 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และส่งออกสินค้าไปยังอาเซียน 47,139 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 6.3 ของปริมาณการส่งออก ทั้งหมดของสหรัฐฯ โดยอาเซียนเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด (แนวโน้มการได้เปรียบดุลการค้าของอาเซียนลดลง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 สหรัฐฯ นำเข้าจากอาเซียนลดลง แต่ส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา) สินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากอาเซียน ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้สำนักงาน และเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังอาเซียน ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องบินและส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น
| |
− | ปริมาณการลงทุน ในปี 2543 ในส่วนของอาเซียน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทยและมาเลเซียเป็นแหล่งลงทุน 4 อันดับแรกของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 2,690, 1,182, 539 และ 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ
| |
− | ในระหว่างการประชุม AEM-USTR Consultations ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 USABC ได้ริเริ่มที่จะให้มีการศึกษาถึงความเหมาะสมของการจัดตั้งเขตการค้าเสรีสหรัฐฯ-อาเซียน
| |
− | สถานะล่าสุด
| |
− |
| |
− | การหารือระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้นำอาเซียน 7 ประเทศ ได้มีขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2545 สหรัฐฯ พร้อมที่จะร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอาเซียนภายใต้ข้อเสนอ Enterprise for ASEAN Initiative (EAI) อันมีเป้าหมายที่จะนำไปสู่การจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ กับสมาชิกอาเซียนเป็นรายประเทศต่อไป
| |
− | สรุปความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ
| |
− |
| |
− | ความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน-สหรัฐฯ ในอดีตที่ผ่านมามีความราบรื่น แต่โครงการ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนายังมีอยู่ค่อนข้างน้อย โดยสหรัฐฯ เน้นความร่วมมือและความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในระดับทวิภาคีมากกว่าที่จะร่วมมือกับอาเซียนในฐานะกลุ่มประเทศ อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 สหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ให้แก่ภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านความร่วมมือเพื่อการต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจอื่นๆ
| |
− |
| |
− | 6.2.5. อาเซียน-ออสเตรเลีย
| |
− |
| |
− | อาเซียน-ออสเตรเลีย
| |
− |
| |
− | ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนในปี 2517(1974) โดยมีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ มีมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนและออสเตรเลียขยายตัวอย่างรวดเร็วหลังจากทั้งสองฝ่ายลงนามใน MOU on ASEAN-Australia Trade Cooperation เมื่อปี 2519 การขยายตัวด้านการค้ายังส่งผลให้การลงทุนของทั้งสองฝ่ายขยายตัวอย่างมาก อย่างไรก็ดี อาเซียนยังมีอุปสรรคเกี่ยวกับมาตรการกีดกันการค้าที่มิใช่มาตรการด้านภาษีศุลการกรของออสเตรเลีย อาทิ การต่อต้านการทุ่มตลาด มาตรฐานสินค้าที่ยังแตกต่างกัน และปัญหาด้านสุขอนามัยของสินค้า (SPS) อาเซียนและออสเตรเลียมีความร่วมมือในกรอบ AFTA-CER ซึ่งกำลังพัฒนาให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นคือ AFTA-CER Closer Economic Partnership : CEP ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จะลงนาม Ministerial Declaration on the AFTA-CER Closer Economic Partnership ในเดือนกันยายน 2545 ที่บรูไนฯ ความร่วมมือในกรอบ AFTA-CER CEP จะเน้น 5 ด้านคือ (1) Trade and Investment facilitation (2) Capacity Building (3) Trade and Investment Promotion (4) New Economy และ (5) ด้านอื่นๆ ที่สามารถร่วมมือกันได้ในอนาคต อาเซียนและออสเตรเลียมีความร่วมมือด้านการเงินการคลังในกรอบ Manila Framework Groupซึ่งเริ่มในปี 2540 และมีการประชุมแล้วรวม 7 ครั้ง และในกรอบ Executive Meeting of East Asia -Pacific Central Banks (EMEAP)
| |
− |
| |
− | สถานะปัจจุบัน
| |
− |
| |
− | ในช่วงกลางปี 2001 อาเซียนและออสเตรเลียเกิดการขัดแย้งในเรื่องคุณสมบัติการรับเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (ODA) โดยออสเตรเลียต้องการใช้หลักการของ OECD ซึ่งทำให้สิงคโปร์และบรูไนฯ ไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบในโครงการ AADCP ในขณะที่ฝ่ายอาเซียนยืนยันหลักการไม่เลือกประติบัติ (Non-Discrimination) ผลจากความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ต้องยุติกิจกรรมต่าง ๆ ในขั้นเตรียมการของโครงการ AADCP ไปก่อนจนกว่าจะหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้
| |
− |
| |
− | จากการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่ายในการประชุม Joint Planning Committee (JPC) สำหรับโครงการ AAECP ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2001 ที่กรุงแคนเบอร์รา มีข้อเสนอให้มีการร่วมรับภาระเฉพาะในส่วนของการเดินทางมาร่วมกิจกรรมในโครงการต่างๆ ในสัดส่วนออสเตรเลีย 80: อาเซียน 20 ซึ่งต่อมาสามารถตกลงกันได้ในรายละเอียดตามหลักการนี้
| |
− |
| |
− | 6.2.6. อาเซียน-แคนาดา
| |
− |
| |
− | อาเซียน-แคนาดา
| |
− | ความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2520 มีความร่วมมือดำเนินไปอย่างใกล้ชิดทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านการพัฒนา ในปี 2524 ทั้งสองฝ่ายลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ (ASEAN -Canada Economic Cooperation Agreement) อาเซียนและแคนาดาจึงได้ตกลงปรับปรุงความตกลงดังกล่าวขึ้นในปี ๒๕๓๖ โดยให้มีการก่อตั้งสภาธุรกิจอาเซียน-แคนาดา (ASEAN-Canada Business Council : ACBC) ขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและหาลู่ทางในการขยายความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย
| |
− |
| |
− | ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน
| |
− |
| |
− | แคนาดาได้ให้ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจอย่างแข็งขันต่อข้อเรียกร้องของประเทศสมาชิกอาเซียนในกรอบกลุ่มความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจในเอเชียและแปซิฟิก (APEC) และองค์การการค้าโลก (WTO) ตลอดมา การค้าระหว่างอาเซียนกับแคนาดา ปริมาณการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มูลค่าการค้าดังกล่าวยังเป็นสัดส่วนที่น้อย มีมูลค่าไม่ถึงร้อยละ 1 (0.7) เมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าที่อาเซียนมีกับทั่วโลก (ลดลงร้อยละ 0.11 จากปีก่อนหน้านี้) นอกจากนี้ ความพยายามที่จะขยายการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นยังไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากแคนาดาได้อ้างอุปสรรคทางการค้าที่มีต่อกันว่า อาเซียนมีระบบภาษีที่ซ้ำซ้อนและยุ่งยากและมีปัญหาแรงงานบ่อย ส่วนอาเซียนเห็นว่าแคนาดามีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไปเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้า อนามัยของสินค้า ประเภทอาหาร การเข้าตลาด และการให้สิทธิพิเศษทางการค้าที่แตกต่างกันแก่ประเทศกำลังพัฒนา
| |
− |
| |
− | สถานะล่าสุด
| |
− |
| |
− | อาเซียนและแคนาดาจัดการประชุมคณะทำงานอาเซียน-แคนาดา ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 5-7 มีนาคม 2545 ที่กรุงพนมเปญ โดยเป็นผลมาจากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-แคนาดา ครั้งที่ 33 ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2543 ซึ่งเห็นพ้องให้มีการหารือระดับสูงอย่างไม่เป็นทางการระหว่างอาเซียน-แคนาดา เพื่อพิจารณาหาทางรื้อฟื้นการประชุม ACJCC โดยมีผลการประชุมว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในประเด็นเดียวคือ เห็นชอบในหลักการแนวทางความร่วมมือในอนาคตในลักษณะหุ้นส่วนที่ให้อาเซียนมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการความร่วมมือในอนาคตไม่เกินร้อยละ 20 โดยรวมถึง in kind contribution ด้วย โดยฝ่ายแคนาดาจะจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MOU) ฉบับใหม่สำหรับโครงการความร่วมมือในภูมิภาค (Regional Training Program – RTP) บนพื้นฐานของหลักการข้างต้น แล้วเสนอให้อาเซียนพิจารณาให้ข้อคิดเห็น และเห็นชอบให้จัดการประชุม ACJCC ครั้งที่ 12 หลังจากที่การจัดทำ MOU ข้างต้นแล้วเสร็จ โดยรูปแบบการจัดการประชุมและกลไกการดำเนินการประชุมที่เหมาะสมจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่ายก่อนด้วย
| |
− |
| |
− | 6.2.7. อาเซียน-สหภาพยุโรป
| |
− |
| |
− | ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป
| |
− |
| |
− | นโยบายของอาเซียนในการดำเนินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหภาพฯจะคล้ายคลึงกับนโยบายที่ดำเนินกับประเทศคู่เจรจาที่สำคัญอื่นๆ เช่น สหรัฐฯและญี่ปุ่น คือ เพื่อปรับปรุงการเข้าสู่ตลาดสหภาพฯสำหรับสินค้าจากอาเซียน และเพื่อดึงดูดการลงทุนจากสหภาพฯ มายังอาเซียน ส่วนนโยบายของสหภาพฯในการดำเนินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอาเซียนเป็นไปตามมติของคณะมนตรียุโรปว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินและเศรษฐกิจกับประเทศกำลังพัฒนา ในเอเชียและละตินอเมริกาปี 2535 ซึ่งกำหนดวัตถุประสงค์ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 3 ประการ คือ 1) เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน 2) เพื่อใช้ประโยชน์จากความเจริญเติบโตของการค้าระหว่างกัน และ 3) เสริมสร้างบทบาทของนักธุรกิจและเทคโนโลยี
| |
− |
| |
− | ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนนั้น สหภาพฯ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่อาเซียนในโครงการที่สำคัญ คือ ASEAN-EC Industrial Standards and Quality Assurance Programme และ ASEAN-EC Patents and Trademarks Programme ส่วนการส่งเสริมบทบาทของนักธุรกิจและเทคโนโลยีนั้น สหภาพฯ ได้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีของสหภาพฯ โดยผ่านศูนย์ภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้ง Business Information Centres สำหรับโครงการที่สำคัญเพื่อช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุน ได้แก่ Asia-Invest, ASEAN-EU Partenariat นอกจากนั้นสหภาพฯ ยังได้ จัดตั้ง European Community Investment Partners (ECIP) เพื่อให้เงินกู้สำหรับโครงการในอาเซียน ที่เป็นลักษณะร่วมลงทุนระหว่างนักลงทุนของภูมิภาคทั้งสอง และการให้เงินกู้สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ผ่าน European Investment Bank (EIB) ซึ่งที่ผ่านมา สหภาพฯ ได้ให้เงินกู้สำหรับโครงการก๊าซธรรมชาติในไทย อินโดนีเซีย และโครงการขยายสนามบินในฟิลิปปินส์
| |
− |
| |
− | โดยรวมแล้วนับว่าสหภาพยุโรปได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา แก่อาเซียนเป็นจำนวนมาก โดยแต่เดิมฝ่ายสหภาพฯ จะออกค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการเกือบทั้งหมด แต่ในปัจจุบัน สหภาพฯ กำหนดให้อาเซียนร่วมออกค่าใช้จ่ายด้วยในสัดส่วน 20% ทั้งนี้ โครงการความร่วมมือส่วนหนึ่งเป็นการดำเนินการในระดับภูมิภาค อาทิ โครงการฝึกอบรมหรือการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือเฉพาะสาขาที่ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถเข้าร่วมได้ทุกประเทศ แต่โครงการบางส่วนเป็นการดำเนินงานกับอาเซียนเป็นรายประเทศตามความสมัครใจ และยังมีโครงการอีกส่วนหนึ่งที่ สหภาพฯ ให้ความช่วยเหลือในกรอบ EU-Asia ที่รวมถึงอาเซียนด้วย
| |
− | โดยที่อาเซียนมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเริ่มเปลี่ยนจากลักษณะ "ผู้ให้-ผู้รับ" (donor-recipient) มาเป็น "หุ้นส่วนเพื่อความ ก้าวหน้า" (partnership for progress) เน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (economic cooperation) มากขึ้น
| |
− |
| |
− | ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน สหภาพยุโรปยังคงเป็นคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียน และจัดอยู่ในลำดับ 3 รองลงจากญี่ปุ่นและสหรัฐฯ การให้ สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ของสหภาพฯ เป็นมาตรการสำคัญในการส่งเสริมการค้า
| |
− |
| |
− | ในด้านการลงทุน สหภาพฯ ลงทุนในอาเซียนมากเป็นอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและฮ่องกง โดยในปี 2539 สหภาพฯ ได้ลงทุนในอาเซียนเป็นมูลค่า 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วลดลงในช่วงที่อาเซียนประสบกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540-2541 จากนั้นได้เริ่มเพิ่มการ ลงทุนในอาเซียนอีกเป็นมูลค่า 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2542 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2543 สหภาพฯ ลงทุนในอาเซียนเพียง 252 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
| |
− |
| |
− | 6.2.8. อาเซียน-นิวซีแลนด์
| |
− |
| |
− | อาเซียน-นิวซีแลนด์
| |
− |
| |
− | ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียน-นิวซีแลนด์ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี มีการลดกฎระเบียบและข้อกีดกันทางการค้า อาเซียน พยายามเพิ่มลู่ทางการเข้าสู่ตลาดนิวซีแลนด์ของสินค้าส่งออกจากอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากถึงแม้นิวซีแลนด์จะเป็นตลาดที่ไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อรวมกำลังซื้อกับออสเตรเลียก็จะเป็นตลาดที่น่าสนใจ
| |
− | สำหรับดุลการค้า นิวซีแลนด์เป็นฝ่ายได้ดุลการค้าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2540-2544) ยกเว้นในปี 2542 ซึ่งนิวซีแลนด์ขาดดุลการค้ากับอาเซียน 55 ล้านเหรียฐสหรัฐ สินค้าที่นิวซีแลนด์ นำเข้าจากอาเซียนประกอบด้วย น้ำมันดิบ โทรทัศน์สี วิทยุ เครื่องเล่นเทปและวิดีโอ ส่วนสินค้าที่นิวซีแลนด์ส่งออกมายังอาเซียนคือ ผลิตภัณฑ์นม กระดาษและเยื่อกระดาษ เนื้อแช่แข็งและผัก อุปสรรคการค้าที่สำคัญคือ มาตรฐานด้านสุขอนามัย (SPS) สำหรับการนำเข้าสินค้าพืชและสัตว์ ซึ่งนิวซีแลนด์กำหนดสูงกว่ามาตรฐาน
| |
− |
| |
− | นอกจากนั้น ยังมีความพยายามที่จะเชื่อมโยง ASEAN Free Trade Area (AFTA) กับ Closer Economic Relations (CER) ของออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ ซึ่งมีความคืบหน้าด้วยดี โดยปัจจุบันกำลังมีการศึกษาแนวทางการจัดทำความร่วมมือระหว่าง ASEAN-CER ในรูปแบบ Closer Economic Partnership: CEP แทนการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ความร่วมมือในกรอบ AFTA-CER CEP จะเน้น 5 ด้านคือ (1) Trade and Investment facilitation (2) Capacity Building (3) Trade and Investment Promotion (4) New Economy และ (5) ด้านอื่นๆ ที่สามารถร่วมมือกันได้ในอนาคต
| |
− |
| |
− | 6.2.9. อาเซียน-ปากีสถาน
| |
− |
| |
− | อาเซียน-ปากีสถาน
| |
− |
| |
− | ความสัมพันธ์คู่เจรจาเฉพาะด้านอาเซียน-ปากีสถาน (ASEAN-Pakistan Sectoral Dialogue) ได้มีผลอย่างสมบูรณ์ตามหนังสือแลกเปลี่ยน ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานและเลขาธิการอาเซียน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม และ 27 มิถุนายน 2540(1997) ตามลำดับ ประกอบด้วย 8 สาขาความร่วมมือ คือ การค้า อุตสาหกรรม ลงทุน สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยาเสพติด การท่องเที่ยวและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยในฝ่ายอาเซียนมีสำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ประสานงาน ประเทศสมาชิกอาเซียน สำนักเลขาธิการ และหน่วยงานต่าง ๆ ของอาเซียน รวมทั้ง SEOM และ COST มิได้แสดงความสนใจในศักยภาพทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของปากีสถาน ด้วยเหตุนี้ อาเซียนจึงไม่มีความกระตือรือร้นที่จะริเริ่มความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับปากีสถาน สำหรับการที่ ปากีสถานประสงค์จะขอยกสถานะขึ้นเป็นคู่เจรจาเต็มรูปแบบนั้น อาเซียนเห็นควรคงสถานะปัจจุบันไว้อีกระยะหนึ่ง จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะมีกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกันมากกว่านี้ และเห็นว่า ยังไม่ควรรับปากีสถานเข้าเป็นสมาชิก (ASEAN Regional Forum: ARF) เนื่องจากเกรงว่า จะมีการนำเอาปัญหาในเอเชียใต้เข้ามาสู่ ARF ในส่วนของ SEOM นับแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างอาเซียนกับปากีสถาน ยังมิได้เคยหารือกันถึงลู่ทางในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับปากีสถาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ให้ ความสำคัญต่อตลาดปากีสถานและความไม่กระตือรือร้นของ SEOM ในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับปากีสถานได้เคลื่อนไหวสถาปนาความสัมพันธ์อย่างจริงจังกับอาเซียน ภายหลังจากที่ผู้นำอาเซียนเห็นชอบให้อินเดียเป็นประเทศคู่เจรจาเต็มรูปแบบของอาเซียนเมื่อปี 2538 ซึ่งส่งผลให้อินเดียได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม (Post Ministerial Conferences: PMCs) และ ARF โดยในทันทีหลังจากได้รับสถานะคู่เจรจาเฉพาะด้าน ปากีสถานได้พยายามเร่งเร้าอาเซียนในทุกวิถีทางเพื่อให้ยกสถานะขึ้นเป็นคู่เจรจาเต็มรูปแบบในโอกาสแรก ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจว่า เป้าหมายหลักของปากีสถานอยู่ที่การเข้าเป็นสมาชิก ARF เช่นเดียวกับอินเดีย
| |
− |
| |
− | 6.2.10. อาเซียน-รัสเซีย
| |
− |
| |
− | อาเซียน-รัสเซีย
| |
− |
| |
− | อาเซียน-รัสเซียมีความสัมพันธ์ ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ปริมาณการค้าระหว่างอาเซียนกับรัสเซียยังมีปริมาณน้อย (ประมาณร้อยละ 0.3 ของปริมาณการส่งออกรวมของ อาเซียน) ในชั้นนี้ อาเซียนโดย Senior Economic Officials Meeting (SEOM) ได้เห็นชอบร่าง TOR เพื่อจัดตั้งคณะทำงาน อาเซียน -รัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายรัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานฯ ครั้งแรก ณ กรุงมอสโก ระหว่างวันที่ 19-20 เดือนกันยายน 2545
| |
− |
| |
− | สถานะล่าสุด
| |
− |
| |
− | ที่ประชุม JPMC ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2544(2001) ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันยกร่างแผนงานเพื่อเป็นกรอบการดำเนินความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าว มุ่งเน้นความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจโดยกำหนดให้มีการรับรอง TOR จัดตั้งคณะทำงานฯ และดำเนินการจัดประชุมครั้งแรกขึ้นในปี 2545(2002) ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะมุ่งเน้นโครงการขนาดเล็กที่เสนอโดยสำนักเลขาธิการอาเซียน ด้านการศึกษาจะเน้นโครงการจัดสัมมนาอธิการบดีมหาวิทยาลัยอาเซียน-รัสเซีย ด้านคมนาคมจะเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายและปรับปรุงเส้นทางคมนาคมที่มีอยู่เพื่อเชื่อมสองภูมิภาคเข้าด้วยกัน รวมทั้งการศึกษาถึงรูปแบบและแหล่งเงินที่จะใช้สนับสนุนโครงการความร่วมมือระหว่างกัน
| |
− | ที่ประชุมอาเซียน-รัสเซีย SOM ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 4-5 เมษายน 2545 ณ กรุงมอสโก ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบที่จะร่วมกันพิจารณาจัดทำร่าง Pacific Concord และร่วมกันเสนอให้ที่ประชุม ARF พิจารณาต่อไป
| |
| | | |
| | | |
| ==ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ== | | ==ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ== |
| | | |
− | 7.1. ประเทศเพื่อนบ้าน
| |
− |
| |
− | กัมพูชา : กรณีเขาพระวิหาร
| |
| | | |
− | ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
| |
| | | |
− | ในที่นี้จะกล่าวถึงประเด็นทั้งความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งจะทำให้เห็นภาพของความขัดแย้งได้อย่างชัดเจน และแม้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะมีความขัดแย้งกัน แต่ก็สามารถจัดการกับความขัดแย้งได้โดยอาศัยกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เป็นพลังขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกัน
| |
| | | |
− | การวิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
| |
| | | |
− | ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และลัทธิชาตินิยม
| |
| | | |
− | ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในปัจจุบันนั้นมีรากฐานเกิดมาจากความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และลัทธิชาตินิยมเป็นหลัก ปัญหาประการแรกของประเทศทั้งสองนั้นเกิดจากการขีดแบ่งเส้นแดนโดยจักรวรรดินิยม ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างไทยอีสานใต้และกัมพูชาแล้ว จะเห็นได้ว่าดินแดนทั้งสองต่างก็เป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมแบบเดียวกัน มีลักษณะทางชาติพันธุ์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน แต่ดินแดนทั้งสองส่วนต้องแยกจากกันเพราะวิธีคิดการแบ่งเขตแดนแบบรัฐชาติ (Nation State) สมัยใหม่ตามแบบที่จักรวรรดินิยมตะวันตกพึงปรารถนาให้เป็น หรือกล่าวได้ว่าเป็นการแบ่งเขตแดนเพื่อการจัดการผลประโยชน์เหนือดินแดนของจักรวรรดินิยมตะวันตกนั่นเอง
| + | ==ความมั่นคงในยุคสมัยใหม่== |
| | | |
− | ทั้งนี้ เมื่อมองย้อนไปในอดีตก็จะเห็นถึงความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างไทยอีสานใต้และกัมพูชาบนพื้นที่ความขัดแย้งในปัจจุบัน คือ พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทเขาพระวิหารซึ่งพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอมได้สร้างเทวสถานบนเทือกเขาพนมดงรัก (เพี๊ยะนมดงเร็ก) เพื่อให้ชาวเขมรสูง (อีสานใต้) และชาวเขมรต่ำ (กัมพูชา) ได้สักการะเทวสถานแห่งนี้ร่วมกัน อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นกลุ่มชนเดียวกัน และความผูกพันทั้งในอดีตและปัจจุบันของดินแดนทั้งสอง ซึ่งในปัจจุบันดินแดนดังกล่าวกลับเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ต่างฝ่ายต่างยึดถือเขตแดนและกฎเกณฑ์ที่ตะวันตกได้กำหนดเอาไว้ มิได้มองถึงวัตถุประสงค์ของผู้สร้างปราสาทเขาพระวิหารที่มีเจตนาให้ดินแดนเขมรทั้งสองฝั่งได้ใช้ประโยชน์ (การสักการบูชาร่วมกัน) อีกทั้งรัฐไทยและรัฐกัมพูชาสมัยใหม่ยังมองข้ามบริบททางวัฒนธรรมที่เป็นวัฒนธรรมชุดเดียวกันของดินแดนทั้งสอง ทำให้ทั้งสองฝ่ายยึดถือแต่ผลประโยชน์แห่งชาติ(National Interest) บนเส้นแบ่งเขตแดนตามแบบชุมชนในจินตนาการ (Imagine Community) ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
| |
| | | |
− | ปัญหาอีกประการ คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยได้ถูกหล่อหลอมจากกระบวนการ ตำรา และแบบเรียนภายใต้อุดมการณ์แบบชาตินิยมที่ประกอบสร้างให้เราเกลียดพม่า กลัวญวน และดูหมิ่นเขมรซึ่งหากหันไปมองประวัติศาสตร์ก็จะเห็นได้ว่าสยามในอดีตนั้นก็เป็นเพียงดินแดนของคนเถื่อนเท่านั้นในขณะที่ขอมเป็นดินแดนอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังจะเห็นได้จากภาพแกะสลักนูนต่ำ "เสียมกุก" หรือ นี่เหล่าคนสยาม (กองทัพสยาม) บริเวณระเบียงรายรอบปราสาทนครวัด ซึ่งเป็นภาพที่บรรยายถึงในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้เกณฑ์ไพร่พลในดินแดนรัฐบรรณาการของพระองค์ที่หนึ่งในนั้น คือ เสียม สยำ หรือ สยาม นั่นเอง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าแบบเรียนที่เน้นศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่ของชาติเกินความเป็นจริงโดยไม่ย้อนไปมองบริบททางประวัติศาสตร์ ย่อมจะเกิดผลเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน ต้องไม่ลืมนึกถึงกฎเกณฑ์วัฏจักรทางประวัติศาสตร์ที่อาณาจักรใดก็ตามมีจุดสูงสุดก็ย่อมจะต้องตกต่ำลงเป็นธรรมดา ปัจจุบันเราอาจจะเหนือกว่าเขาแต่ในอดีตเขาก็เคยเหนือกว่าเราเช่นกัน
| |
| | | |
− | ปัญหาอีกส่วนหนึ่งของความเป็นชาตินิยมแบบคลั่งชาติภายใต้กระบวนการสร้างแบบคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) ทำให้ชาติของเราดูดีงาม และเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมแต่ในขณะเดียวกันก็สร้างภาพให้ชาติอื่นกลายเป็นศัตรูถาวรที่มีแต่ความเลวร้ายหรือต่ำต้อยกว่าเรา ดังจะเห็นได้จากรัฐไทยนั้นติดอยู่กับบ่วงวาทะกรรมว่าอยุธยานั้นถูกหงสาวดีเป็นศัตรูถาวรที่รุกรานเผาบ้านเมืองและปล้นสะดมนานหลายร้อยปี แต่หากมองดูที่ประวัติศาสตร์ระหว่างไทยกับกัมพูชา จะเห็นได้ว่าช่วงความรุ่งเรืองของอยุธยานั้นเป็นช่วงที่กัมพูชาหรือกัมโพชเสื่อมถอยลง เมื่ออยุธยามีอำนาจที่เข้มแข็งก็ได้มีการขยายอำนาจรุกรานดินแดนที่อ่อนแอกว่าเช่นกัน ดังเห็นจากการขยายอำนาจครั้งสำคัญในรัชสมัยของพระบรมราชาที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา แห่งอาณาจักรอยุธยา ซึ่งการขยายขอบขัณฑสีมารุกรานกัมพูชาในครั้งนั้นอยุธยาได้ทำการเผาและปล้นสะดมอาณาจักรกัมพูชา เช่นเดียวกับที่อยุธยาถูกหงสาวดีกระทำในกาลต่อมา หรือจะเป็นเมื่อครั้งพระนเรศวร ที่พระองค์ทรงพักจากศึกหงสาวดีแล้วไปทำสงครามสั่งสอนกัมพูชา โดยในสงครามครั้งนั้นอยุธยาได้ทำการเทครัวและกวาดต้อนชาวเขมรเพื่อไปเป็นแรงงานให้แก่อยุธยาเป็นจำนวนมาก หรือจะเป็นในรัชสมัยของพระเจ้าตากสินหลังจากการปราบดาภิเษกเถลิงราชสมบัติเป็นการสำเร็จ พระองค์ก็มีพระราชประสงค์ที่จะเผยแพร่บุญโพธิสมภารไปสู่ราชอาณาจักรกัมพูชา ขณะเดียวกันก็ทรงหาหนทางที่จะต้องการนำตัวกษัตริย์กัมพูชามาลงโทษ เนื่องมาจากการปฏิเสธที่จะส่งบรรณาการสู่ธนบุรี ทำให้พระเจ้าตากสินได้ยกทัพเข้าตีกัมพูชาหลายต่อหลายครั้ง จนในปี พ.ศ. 2315 กองทัพสยามได้เผากรุงพนมเปญ และได้สถาปนานักองค์เองให้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิดของธนบุรีหลังจากนั้นอีกเจ็ดปี
| |
| | | |
− | ในขณะที่ไทยมองกัมพูชาในฐานะที่ต่ำต้อยกว่าและตกเป็นเบี้ยล่างมาโดยตลอด กัมพูชาเองก็ประกอบสร้างให้ไทยเป็นศัตรูถาวรของกัมพูชาเช่นกัน อันเป็นผลมาจากเมื่อสยามในอดีตมีความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นขึ้นมาคราใด สยามก็จะต้องรุกรานกัมพูชาทุกครั้งเช่นกัน เห็นได้ว่าการรุกรานขยายอาณาดินแดนของรัฐจารีต ในอดีตนั้นเป็นกฎของสัจนิยม (Realism) ที่ว่าสถานะของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นเป็นสภาวะอนาธิปไตย (Anarchy) ที่ไม่มีกฎเกณฑ์อันใดมาควบคุมพฤติการณ์ระหว่างรัฐ นอกจากนี้ สงครามยังคงเป็นความชอบธรรมที่แต่ละรัฐสามารถนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยไม่ขัดกับหลักประเพณีระหว่างประเทศในอดีต หากไทยและกัมพูชาเข้าใจถึงเกณฑ์ความสัมพันธ์ของรัฐจารีตดั้งเดิมและไม่ใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นเครื่องมือสร้างกระแสชาตินิยมของประเทศทั้งสองความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ คงจะไม่ทวีความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน
| |
− |
| |
− | ถึงแม้ว่าข้อดีของการใช้ความเป็นชาตินิยมสร้างชาติอื่นให้เป็นศัตรูถาวรจะมีอยู่ที่เป็นการสร้างอุดมการณ์ต่อต้านศัตรูเพื่อสร้างความสามัคคีในชาติได้ แต่หากพิจารณาถึงบริบทของการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สงครามที่เป็นการรบมิใช่สงครามหลักในเวทีระหว่างประเทศอีกต่อไป สงครามเศรษฐกิจกลับเข้ามามีบทบาทหลักที่ผลักให้เกิดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้น ประกอบกับเขตแดนของรัฐแบบเวสต์ฟาเลีย (Westfalia) ที่ชาติตะวันตกเคยแบ่งเขตแดนให้กับทั่วโลก เริ่มจะมีผลสะเทือนจากโลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่ตะวันตกสร้างนี้ได้ลดทอนคุณค่าทางเขตแดนแบบรัฐชาติลง นอกจากนี้ ตะวันตกก็ยังผลักกระแสการบูรณาการ (Integration) ระหว่างประเทศที่มีต้นแบบจากสหภาพยุโรป (European Union: EU) กลายมาเป็นสงครามในการรวมกลุ่มประเทศที่เป้าหมายในการรวมกลุ่มประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง ทั้งนี้ เพื่อเป้าหมายการต่อสู้ในสงครามทางเศรษฐกิจระหว่างแต่ละกลุ่มประเทศ ซึ่งลักษณะของการบูรณาการในภูมิภาคนั้นจะมีลักษณะที่สร้างความเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาคโดยมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานอย่างเสรี จะเห็นได้ว่าสหภาพยุโรปนั้นมีลักษณะเป็นองค์กรเหนือรัฐ (Supranational Organization) ที่มีความเข้มแข็งมีทั้งสภาแห่งยุโรป (European Parliament) ศาลแห่งยุโรป (European Court) สกุลเงินยุโรป (EURO) และธนาคารกลางแห่งยุโรป (Central Bank of European) โดยมีนโยบายเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปที่เป็นเอกภาพ และในอนาคตสหภาพยุโรปก็กำลังดำเนินการสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมืองเช่นกัน กล่าวได้ว่าแนวทางการบูรณาการภายในกลุ่มระหว่างประเทศนั้นเป็นการลดทอนอธิปไตย เขตแดน และความเป็นรัฐชาติลงนั่นเอง
| |
− |
| |
− | ในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นทั้งสองประเทศต่างก็เป็นสมาชิกของอาเซียน (ASEAN) ที่กำลังเดินหน้าตามตัวแบบอย่างสหภาพยุโรปโดยที่ในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนต้องก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งก็หมายความว่าไทย กัมพูชา และอาเซียนก็กำลังตามกระแสของสงครามทางเศรษฐกิจและการบูรณาการระหว่างประเทศ ดังนั้น เป้าหมายของอาเซียนในอนาคต คือ ไปสู่การสร้างความเป็นเอกภาพของประชาคมอย่างแท้จริง ที่อธิปไตยเขตแดน และความเป็นชาติย่อมจะถูกลดทอนลง เมื่อสถานการณ์ของการเมืองระหว่างประเทศเริ่มเปลี่ยนไป อัตลักษณ์ภายในภาคีของอาเซียนเองก็จะต้องตรียมพร้อมเพื่อไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ด้วยการลดข้อจำกัดในการสร้างความเป็นศัตรูถาวรภายใต้กระแสชาตินิยม เมื่อใดก็ตามที่ต่างฝ่ายต่างเดินหน้าใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์ และความล้าหลังคลั่งชาติก็ย่อมจะสร้างความขัดแย้งระหว่างกันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
| |
− |
| |
− | เมื่อความเป็นหนึ่งเดียวแบบประชาคมกำลังจะเกิดขึ้นในอาเซียน คำถามก็คือ การสร้างกระแสชาตินิยมบนพื้นฐานความแค้นในเชิงประวัติศาสตร์มีความจำเป็นอยู่ไหม ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาต้องทบทวนว่าทั้งสองประเทศจะยินยอมติดอยู่กับกับดักของลัทธิชาตินิยมและประวัติศาสตร์อยู่หรือไม่ หรือจะเลือกเดินไปสู่หนทางของความร่วมมือที่จะเกื้อกูลกันเพื่อต่อสู้ในสงครามทางเศรษฐกิจบนเวทีระหว่างประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาภายใต้ผลประโยชน์แห่งชาติและการเมืองระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | สำหรับการเมืองในประเทศไทยนั้น หลายปีที่ผ่านมามีความปั่นป่วนและขาดเสถียรภาพอยู่พอสมควรอันมาจาก Colors Politics หากมองถึงปมแห่งปัญหาของการเมืองของไทยนั้นเกิดจากที่ประชาธิปไตยแบบตะวันออกของไทยยังให้ความสำคัญตลอดมาว่าการเลือกตั้ง คือ หัวใจสำคัญของประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วการเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงกระบวนการสรรหาตัวแทนในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ประกอบกับการเลือกตั้งในไทยยังยึดโยงอยู่กับทุน และระบบอุปถัมภ์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเราต้อง มีความเข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องไม่ใช่แค่เพียงการเลือกตั้ง แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยโดยวิถีชีวิตที่ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และรับฟังเสียงจากคนส่วนน้อย ซึ่งสังคมประชาธิปไตยที่พึงปรารถนาต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบถกแถลง (Deliberate Democracy) ที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและการแลกเปลี่ยนความคิดกันกันอย่างสร้างสรรค์ กล่าวได้ว่าประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันจึงเป็นประชาธิปไตยแบบอัตตาธิปไตยผสานกับธนาธิปไตยที่ขับเคลื่อนไปด้วยอวิชชาและมิจฉาทิฐิ
| |
− |
| |
− | แม้ว่าเสถียรภาพทางการเมืองของกัมพูชาจะมีอยู่สูง เนื่องมาจากรัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชาที่นำโดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซนสามารถกุมเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งของกัมพูชาได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พรรคประชาชนกัมพูชาได้เข้าสู่การเป็นพรรคการเมืองที่มีลักษณะโดดเด่นเพียงพรรคเดียว (One Dominant Party System) โดยมีพรรคฟุนซินเปคและพรรคสมรังสีเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ได้รับการเลือกตั้งเพียงไม่กี่ที่นั่ง กล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรีฮุนเซนสามารถใช้อำนาจและกลไกของรัฐผสานกับการใช้กุศโลบายทางเศรษฐกิจ ในการควบคุมฐานเสียงและการลงคะแนนเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอมา หากมองลักษณะทางการเมืองของกัมพูชาถึงแม้ว่ากัมพูชานั้นจะมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็ตาม แต่จากการควบคุมจากรัฐบาลทุกองคาพยพ ไม่ว่าจะเป็น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ NGO และสื่อมวลชน ย่อมสะท้อนให้เห็นถึง ความเป็นประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม (Authoritarian Democracy) ของกัมพูชา
| |
− |
| |
− | จากลักษณะของการเมืองภายในของประเทศทั้งสองเห็นได้ว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นประเทศประชาธิปไตย (แบบเอเชีย) เคยมีคำกล่าวของฝ่ายเสรีนิยม (Liberalism) ว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยจะไม่ทำสงครามกัน แต่ในกรณีของความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชานั้นทั้งสองต่างก็ตั้งผลประโยชน์หลักแห่งชาติ (National Interest) ไว้ที่เป้าหมายเดียวกัน การนิยามถึงผลประโยชน์หลักแห่งชาติหรือผลประโยชน์ที่จะสูญเสียไปไม่ได้ไว้ที่ตำแหน่งเดียวกัน อาจส่งผลต่อความขัดแย้งหากการเจรจาประนีประนอมนั้นดำเนินการมิได้ ย่อมอาจนำไปสู่ความรุนแรงและสงครามในที่สุด ซึ่งผลประโยชน์หลักของทั้งไทยและกัมพูชาก็คือ ปัญหาปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนกับปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล แต่ปัญหาที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองลุกลามจนไม่มีทีท่าว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะยุติลงได้ ก็คือปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้คุณค่าว่าเป็นผลประโยชน์หลักที่จะสูญเสียไปไม่ได้
| |
− |
| |
− | หากมองไปที่คำตัดสินศาลโลก (International Court of Justice) ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็มีความยินยอม (Consent) เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ ดังนั้น คำพิพากษาที่มีความชัดเจนอยู่ว่า ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นดินแดนอธิปไตยของกัมพูชาแน่นอน และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรบนเขาพระวิหารก็เป็นดินแดนของไทยอย่างแน่นอนเช่นกัน ซึ่งประเด็นปัญหา เขาพระวิหารจะไม่สามารถสร้างความขัดแย้งอย่างในปัจจุบันได้หากทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา ไม่นำการเมืองภายในประเทศไปเกี่ยวโยงกับการเมืองระหว่างประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ใช้ประเด็นปราสาทเขาพระวิหารมาสร้างผลประโยชน์แก่การเมืองภายในประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยนั้นเห็นได้จากกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ใช้กรณีเขาพระวิหารมาปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อปลุกระดมมวลชนในการเข้าร่วมต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชนในขณะนั้น โดยพันธมิตรได้ใช้การรณรงค์ที่ว่า "ทวงคืนปราสาทเขาพระวิหาร" แทนที่จะเป็น "รักษาดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณเขาพระวิหาร" อาจเป็นไปได้ว่าคำว่าทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารนั้นง่ายกว่าการสื่อสารกับมวลชนในที่ชุมนุม แต่ก็เป็นการมิควรเป็นอย่างยิ่งที่จะยัดเยียดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน เพราะการให้ข้อมูลในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะมีปัญหาด้านข้อเท็จจริงแล้ว ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างความชิงชังให้แก่ประชาชนชาวไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ซ้ำเติมความชิงชังแบบคลั่งชาติให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
| |
− |
| |
− | สำหรับในกรณีของกัมพูชาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนนั้น มีความใกล้ชิดกับเวียดนามเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ได้รับเลือกจากเวียดนามเพื่อเป็นผู้นำกองทัพปฏิวัติต่อต้านเขมรแดง จนสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในปี พ.ศ. 2522 และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาขึ้น โดยมีเวียดนามหนุนหลัง ซึ่งในตอนนั้นฮุนเซนได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกอบกับภรรยาของฮุนเซนมีเชื้อสายเวียดนาม ยิ่งทำให้ฮุนเซนมีความแนบแน่นกับเวียดนามยิ่งขึ้น ดั้งนั้น จะเห็นได้ว่า ครั้งใดที่ฮุนเซนต้องการใช้กระแสชาตินิยมเพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง เขาจะใช้ประเด็นชาตินิยมสร้างไทยให้เป็นศัตรูถาวรขึ้นมาทุกครั้ง ทั้งที่จากประวัติศาสตร์นั้นกัมพูชาก็ถูกเวียดนามรุกรานไม่น้อยไปกว่าไทยหรือสยามในอดีต เห็นได้จากกรณีของกบ สุวนันท์ ที่ทั้งรัฐบาลกัมพูชาและสื่อมวลชนที่ถูกควบคุมโดยรัฐ ได้โหมกระพือกระแสชาตินิยมว่า นักแสดงไทยกล่าวคำ ดูถูกชาวกัมพูชาจนเกิดความเกลียดชังชาวไทยจนเกิดการเผาสถานเอกอัครทูตไทยในกรุงพนมเปญ ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากฮุนเซนและพรรคประชาชนกัมพูชากำลังลงสู่สนามเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชา จึงต้องใช้กระแสชาตินิยมสร้างไทยในภาพของศัตรูถาวรเพื่อต้องการเสียงสนับสนุนฮุนเซนและพรรคประชาชนกัมพูชา
| |
− |
| |
− | ในประเด็นของเขาพระวิหารที่กลายมาเป็นประเด็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ก็มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กล่าวคือ บริเวณชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม แถบจังหวัดสวายเรียงของกัมพูชา เวียดนามได้ปักหลักเขตแดนล้ำเข้ามาในเขตแดนของกัมพูชาโดยนายสม รังสี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชาได้เปิดโปงกรณีดังกล่าว จนนายกรัฐมนตรีฮุนเซนต้องเบี่ยงเบนประเด็นความขัดแย้งกับเวียดนามมาสู่ความต้องการรักษาอธิปไตยเหนือเขตแดนเขาพระวิหารจากไทย พร้อมกับเคลื่อนกองทัพสู่ชายแดน ส่งผลให้กองทัพไทยต้องเพิ่มกำลังพลตรึงชายแดนบริเวณเขาพระวิหารเช่นกัน ทำให้เกิดสภาวะล่อแหลม (Dilemma) ระหว่างไทยและกัมพูชา จนความขัดแย้งบนพื้นฐานความคลั่งชาติของประเทศทั้งสองได้ขยายตัวไปสู่ประชาชนทุกระดับ
| |
− |
| |
− | กรณีเขาพระวิหารนั้นหากทั้งสองประเทศไม่นำประเด็นการเมืองภายใน ประเทศเชื่อมโยงกับการเมืองระหว่างประเทศที่ขับเคลื่อนไปด้วยความเป็นชาตินิยม แล้วหันมามองถึงผลประโยชน์ของชาติร่วมกันบนพื้นฐานของความร่วมมือของประเทศทั้งสอง ก็จะทำให้ปัญหาเขาพระวิหารจะแปรสภาพจากวิกฤตกลายเป็นโอกาสของทั้งสองฝ่าย เพราะทั้งสองฝ่ายจะได้ผลประโยชน์ร่วมกันจากการจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกันในบริเวณเขาพระวิหาร ต้องไม่ลืมว่าทางกัมพูชานั้นได้ครอบครองเพียงแค่ตัวปราสาท แต่บริเวณโดยรอบที่ประกอบไปด้วย เทวสถาน ปรางค์คู่ บันไดนาค และสระคราวนั้น อยู่ภายใต้การครอบครองไทย เหมือนกับที่ศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้กล่าวว่า "ปราสาทพระวิหารที่ไร้องค์ประกอบโดยรอบ ก็เหมือนกับโครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนัง"[1] นอกจากนี้หากมองไปที่ทรัพยากรทางประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน ไทยมีปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง ฯลฯ กัมพูชามีพระนคร นครวัด ฯลฯ โดยทั้งสองประเทศได้มีส่วนร่วมในการการจัดการมรดกโลกเขา พระวิหารร่วมกัน หากทั้งสองฝ่ายผลักดันความร่วมมือดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้ ทั้งไทยและกัมพูชาจะมี Package การท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมขอมโบราณที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นผลประโยชน์บนความร่วมมือระหว่างกันที่ประเมินค่ามิได้ ทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์จากการขจัดความขัดแย้งระหว่างกัน
| |
− | เมื่อมองไปที่ความขัดแย้งของไทยและกัมพูชานั้น ส่วนหนึ่งต้องมองไปที่บทบาทและท่าทีของเวียดนามที่พยามช่วงชิงความเป็นเจ้าในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป (Mainland Southeast Asia) จากไทยโดยการดำเนินนโยบายต่างประเทศของเวียดนามในระดับภูมิภาค ถึงแม้ว่าบทบาทในองค์การภูมิภาค อาทิเช่น อาเซียน ของเวียดนามจะมีบทบาทที่โดดเด่นไม่เท่ากับไทย แต่หากมองแยกไปเฉพาะส่วนย่อยในภูมิภาคอย่างอินโดจีน ก็จะเห็นถึงบทบาทความเป็นผู้นำที่ชัดเจนของเวียดนามที่มีเหนือลาวและกัมพูชา ซึ่งตรงจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าบทบาทการนำของเวียดนามคือผู้นำของอินโดจีนอย่างแท้จริงที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะสายสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับลาวและกัมพูชาอันมีมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็น กล่าวได้ว่าเวียดนามได้ดำเนินนโยบายสร้างตนให้เป็น แกนล้อ (Hub) และสร้างให้กัมพูชากับลาวเป็นซี่ล้อ (Spokes) ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน ประกอบด้วยความใกล้ชิดและสายสัมพันธ์อันดีของฮุนเซนกับเวียดนามยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและเวียดนามนับวันก็ยิ่งจะมีความแนบแน่นยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงว่าในทางกลับกันความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยก็ย่อมจะถดถอยลงจากยุทธศาสตร์การครองความเป็นเจ้าในอินโดจีนของเวียดนาม
| |
− |
| |
− | ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
| |
− |
| |
− | ปัจจุบัน ไทย-กัมพูชาแม้จะมีความขัดแย้งกัน แต่ความสัมพันธ์ยังคงดำเนินไปบนพื้นฐานของความเข้าอก เข้าใจกัน โดยมีกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เป็นพลังขับเคลื่อนความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ทวิภาคีหลายฉบับ ได้แก่
| |
− |
| |
− | คณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (Joint Commission: JC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วมทำหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ ทวิภาคีในภาพรวม มีการประชุมประจำปี
| |
− |
| |
− | คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่ดูแลส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ
| |
− |
| |
− | คณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน (Border Keeping Committee: BPKC) มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่กำกับการปฏิบัติให้เป็นตามนโยบายของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
| |
− |
| |
− | คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee: JBC) ที่ปรึกษาว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานฝ่ายไทย และทำหน้าที่ระดับสูง ตัวแทนนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นประธานฝ่ายกัมพูชา ทำหน้าที่กำกับดูแลภารกิจ การสำรวจ ปักปัน และแก้ปัญหาเขตแดนทางบก
| |
− |
| |
− | คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) มีแม่ทัพภาคในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน และความร่วมมือระดับท้องถิ่นทั้งสองฝ่าย มีการประชุมปกติปีละ 2 ครั้ง
| |
− |
| |
− | คณะกรรมการการค้าร่วม (Joint Trade Committee: JCT) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน
| |
− |
| |
− | นอกจากนี้ ไทยกับกัมพูชามีการตกลงร่วมภายใต้กรอบความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน คือ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) โดยได้มีการดำเนินโครงการทวิภาคีที่มีโครงการร่วมในสาขาการอำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและการลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 18 โครงการ เช่น การศึกษาการจัดตั้งตลาดกลางเพื่อค้าส่งและส่งออกในกัมพูชา การจัดงานแสดงสินค้า ความตกลงการอำนวยความสะดวกทางการค้าโดยให้บริการเบ็ดเสร็จที่ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น นอกจากนี้ จากยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ACMECS ยังมีแผนปฏิบัติการอื่น ๆ อาทิ โครงการ Contract Farming โดยจังหวัดนำร่องในการจัดทำ Contract Farming ได้แก่ จันทบุรี-พระตะบอง/ไพลิน และยังมีโครงการเมืองคู่แฝด (Sister Cities) ซึ่งเป็นการดำเนินงานเพื่อพัฒนาพื้นที่ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านให้เป็นเมืองเชื่อมโยงระหว่างกัน เป็นรากฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว สนับสนุนการย้ายฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมจากไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
| |
− |
| |
− | สำหรับกรอบความร่วมมือ GMS (Greater Mekong Subregion) ไทยกับกัมพูชาได้ดำเนินโครงการร่วมกัน ได้แก่ การพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor) เชื่อมโยงไทย กัมพูชาและเวียดนาม การอำนวยความสะดวกการผ่านแดนของคนและสินค้าระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูป Package Tour โดยจะเน้นตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ ตลอดจนดำเนินการ GMS Single Visa เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ามูลค่าการค้าของการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังกัมพูชามีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าการนำสินค้าเข้าของไทย ซึ่งการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังกัมพูชาส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลัก ทำให้ภาครัฐทั้งไทย-กัมพูชาได้ให้การสนับสนุนการขนส่งทางถนนเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับการพัฒนาการขนส่งรูปแบบอื่น โดยมีแนวคิดที่ว่าระบบถนนเป็นบริการขนส่งพื้นฐานที่ให้ความสะดวกรวดเร็วและเป็นการขนส่งให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยตรง อีกทั้งการขนส่งทางถนนเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการขนส่งในช่วงสั้น ๆ อย่างไรก็ดี จากกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามแดน (ASEAN Frame work Agreement for the facilitation of Inter-State Transport) และความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Great Mekong Subregion Cross-Border Transport Agreement) ทำให้ภาครัฐทั้งไทยและกัมพูชาได้ประสานงานและร่วมมือกันในการลดอุปสรรคต่างๆ และลดค่าใช้จ่าย ในการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางผ่านแดน และให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการทำงานร่วมกับสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางถนน แก้ไขปัญหาเรื่องรถวิ่งเที่ยวเปล่าเพื่อลดต้นทุนการขนส่งของสินค้า
| |
− |
| |
− | อ้างอิงโดย http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/overview-kh/social/173-2010-09
| |
− |
| |
− | ๗.๒. ประเทศมหาอำนาจ
| |
− |
| |
− | ความขัดแย้งไทย-อเมริกาหลัง คสช. มาเป็นรัฐบาล
| |
− |
| |
− | นายเกล็น ทาวน์เซนด์ เดวีส์ อดีตผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือระหว่างพ.ศ.2555–2557ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้เข้าให้คำแถลงต่อคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการต่างประเทศของวุฒิสภา
| |
− |
| |
− | คำแถลงนี้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตฯกล่าวถึงประเทศไทยว่า
| |
− |
| |
− | “ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาธำรงมิตรภาพร่วมกันมายาวนาน,ไทยเป็นหนึ่งในพันธมิตรคู่สนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในเอเชีย”
| |
− | “แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องจำกัดความสัมพันธ์บางด้านกับไทยหลังเหตุการณ์รัฐประหารโดยทหารเมื่อเดือนพ.ค.2557ความสัมพันธ์ทวิภาคีนี้ยังคงกว้างขวางและก่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่ทั้งสองประเทศอย่างที่ความสัมพันธ์อื่นน้อยนักจะเทียบเคียงได้” ซึ่งนายเดวีส์ชี้ว่าการระงับความช่วยเหลือบางประการนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าไทยจะมีการบริหารประเทศโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงจะนำไปสู่ความสัมพันธ์อย่างเต็มรูปแบบ
| |
− |
| |
− | “ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาความแตกแยกทางการเมืองภายในประเทศไทยถลำลึกลงไปอย่างมาก,นำไปสู่การแบ่งขั้วไม่เพียงระดับการเมืองเท่านั้นแต่ยังแผ่ขยายไปถึงสังคมไทยโดยรวมอีกด้วย” พร้อมเน้นย้ำว่าสหรัฐฯยึดมั่นสนับสนุนหลักประชาธิปไตยและไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งนี้
| |
− |
| |
− | “การที่สหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยกลับไปมีรัฐบาลพลเรือนคืนสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบนั้นมิได้หมายความว่าสหรัฐฯมุ่งเจาะจงสนับสนุนพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญหรือการเมืองประเด็นใดโดยเฉพาะ,สิ่งเหล่านั้นเป็นคำถามที่คนไทยต้องตัดสินใจโดยผ่านกระบวนการทางการเมืองที่ครอบคลุมอันเอื้อต่อการอภิปรายที่เปิดกว้างและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของประเทศหากผมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้ดำรงตำแหน่งผมจะดำเนินงานสานต่อในการสนับสนุนปณิธานด้านประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทย”
| |
− | นายเดวีส์ระบุว่านับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร สหรัฐฯเน้นย้ำผ่านทั้งเวทีสาธารณะและการเจรจาส่วนตัวถึงข้อกังวล “เกี่ยวกับการที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยได้หยุดชะงักลง”รวมถึงการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของพลเมือง
| |
− |
| |
− | ด้านความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพสหรัฐฯและกองทัพไทยนั้นนายเดวี่ส์ชี้สหรัฐฯยังคงยึดมั่นในการรักษาพันธมิตรด้านความมั่นคง“ด้วยตระหนักถึงผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวของเรา”และประวัติศาสตร์การต่อสู้ร่วมกันของสองประเทศไม่ว่าจะในสงครามเวียดนามและสงครามเกาหลีทั้งการฝึกซ้อมกิจกรรมความร่วมมือต่างๆอาทิการฝึกคอบร้าโกลด์ที่ถือเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
| |
− | อดีตผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือแถลงถึงความสัมพันธ์หลากหลายด้านของสองประเทศไม่ว่าจะเป็นการค้า,วัฒนธรรม,กิจการมนุษยธรรม,และความร่วมมือผ่านองค์กรพหุภาคีต่าง ๆ ในภูมิภาค
| |
− | ก่อนทิ้งท้ายว่า “เราก็หวังจะเห็นไทยหวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยเพื่อความพยายามร่วมกันระหว่างประเทศเราทั้งสองจะดำเนินก้าวหน้าได้อย่างเต็มวิสัยสหรัฐฯเชื่อว่าราชอาณาจักรไทยจะสามารถสร้างความปรองดอง สถาปนาประชาธิปไตย และเติมเต็มโชคชะตาบนหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะชาติที่ยิ่งใหญ่และเสรี”
| |
− | โดยหลังจากสิ้นสุดการแถลงดังกล่าวแล้วคณะกรรมาธิการฯจำเป็นต้องกำหนดวันลงมติรับรองตำแหน่งก่อนส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่ทราบกำหนดเวลาแน่ชัด
| |
− |
| |
− | อ้างอิงโดย:http://thainewstip.blogspot.com/2015/06/blog-post_24.html
| |
− |
| |
− |
| |
− | ==ความมั่นคงในยุคสมัยใหม่==
| |
− |
| |
− | 8.1. Traditional Threat
| |
− | ภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน อาจเป็นที่สงสัยหรือยังไม่เป็นที่เข้าใจกันลึกซึ้งนักกับคำว่า "ความมั่นคงของชาติ” ในตอนนี้จะขอให้ความรู้ความเข้าใจถึงความหมายของคำนี้ ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับ "ความมั่นคงของรัฐ” โดยที่รัฐ (State) ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ประชากร ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย หากองค์ประกอบใดไม่เข้มแข็งเพียงพอชาติก็จะขาดความมั่นคง
| |
− |
| |
− | ในอดีต ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติมักให้ความสนใจที่ภัยคุกคามจากภายนอก โดยเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ด้วยเหตุนี้เมื่อกล่าวถึงความมั่นคงของชาติ ส่วนมากจึงเป็นที่เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทหารหรือการสงครามโดยตรง ซึ่งอาจเป็นความจริงในอดีตมากกว่าในปัจจุบัน จากการสำรวจความหมายของความมั่นคงของชาติแบบดั้งเดิมสรุปได้ว่า หมายถึงสภาวการณ์ของชาติภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีอำนาจอธิปไตยในการปกครองดินแดนดังกล่าวด้วยตนเอง อยู่ในสภาพที่มีความปลอดภัยจากภัยคุกคามทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นการเสี่ยงใด ๆ ความเกรงกลัว ความกังวล และความสงสัย อีกทั้งมีเสรีต่อแรงกดดันต่าง ๆ ซึ่งจะประกันให้เกิดอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนภายในชาติดำเนินไปได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ ยังต้องมีความแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงไปโดยง่าย มีความอดทนต่อแรงกดดันต่าง ๆ ที่มากระทบ และมีขีดความสามารถที่จะพร้อมเผชิญต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
| |
− |
| |
− | การให้ความหมายของคำว่า "ความมั่นคงแห่งชาติ” ในแต่ละช่วงเวลาของแต่ละกลุ่มบุคคลในสังคมที่มีอุดมการณ์ครอบงำอยู่ อาจมีความหมายและองค์ประกอบที่แตกต่างกันออกไป และให้ความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติมากน้อยต่างกันไป ซึ่งโดยทั่วไปรัฐหรือชาติต้องการดำรงความเป็นอยู่ ต้องการมีเสรีภาพ (liberty) คือมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของตน มีอิสระต่อแรงกดดันต่าง ๆ มีความมั่นคงปลอดภัย (security) และมีความผาสุกสมบูรณ์ (wealth) การที่จะมีสิ่งเหล่านี้ได้รัฐต้องมีพลังอำนาจของชาติ (national power) ที่เข้มแข็ง หรือมีศักยภาพในหลายด้านด้วยกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในปกป้องผลประโยชน์ของชาติ (national interests) การสิ้นสุดของสงครามเย็นมีผลต่อแนวความคิดในการพิจารณาปัญหาความมั่นคงของชาติ จาก "สภาพแวดล้อมใหม่” ที่ความขัดแย้งในเชิงอุดมการณ์เลือนหายไป แต่กลับมีความขัดแย้งในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ การศึกษาความมั่นคงภายใต้สถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
| |
− |
| |
− | หากให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องของการสงครามและการทหารเพียงอย่างเดียวจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างคับแคบและอยู่ในวงจำกัด เรื่องของความมั่นคงจึงขยายวงกว้างขวางขึ้นโดยมีมิติอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา การเมือง เพิ่มเข้ามา จึงพบว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม ผู้ลี้ภัยที่ไม่พึงประสงค์ ภาวะโลกร้อน ฯลฯ ล้วนแต่เป็นประเด็นที่อาจส่งผลทางตรงต่อความขัดแย้ง โดยผ่านกลไกการเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง
| |
− |
| |
− | เมื่อจำแนกความมั่นคงออกเป็นมิติต่าง ๆ กล่าวได้ว่าประกอบด้วย ความมั่นคงทางทหาร หมายถึง ความพร้อมทางทหารเพื่อป้องกันการรุกราน ความมั่นคงทางด้านการเมือง หมายถึง การมีระบบการเมืองที่มั่นคง มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หมายถึง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีอัตราการส่งออกสูง ประชาชนมีรายได้ต่อหัวสูง และความมั่นคงทางสังคม หมายถึง คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง มีระบบสาธารณะสุขที่ดี ปลอดโรคภัยไข้เจ็บ และมีความอยู่ดีกินดี เป็นต้น
| |
− | อ้างอิงโดย http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=3166&filename=index
| |
− |
| |
− | 8.2. Non-Traditional Threat
| |
− |
| |
− | ประเด็นความมั่นคงแบบ “non-traditional” ซึ่งเน้นในเรื่องความมั่นคงของมนุษย์นับว่ามีความสำคัญยิ่ง และได้รับความสนใจจากรัฐบาลต่างๆมากขึ้นดังสะท้อนให้เห็นจากการกล่าวถึงประเด็นนี้ในสุนทรพจน์ของผู้นำต่างๆโดยเฉพาะในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่แต่ละประเทศมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันที่นอกเหนือไปจากประเด็นดั้งเดิม (traditional) ความมั่งคงแบบ non-traditional นี้หมายรวมถึง ปัญหาที่เกิดจากด้านสาธารณสุข การย้ายถิ่น สิ่งแวดล้อมการแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร อาชญากรรมข้ามชาติปัญหาโจรสลัดและปัญหาการก่อการร้ายปัญหาเหล่านี้ได้ท้าทายบทบาทของรัฐในการให้ความคุ้มกันต่อความปลอดภัยของประชาชนให้สามารถมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขขณะที่มีส่วนในการสร้างความตื่นตัวในกลุ่มประชาชนต่อภัยในรูปแบบใหม่นี้ซึ่งมักถูก “overshadowed” โดยภัยในรูปแบบเดิมๆ เช่น ภัยจากทางทหารภัยจากการรุกรานของต่างชาติ เป็นต้น
| |
− | สถาบันความมั่นคงและยุทธศาสตร์ศึกษา (IDSS) ของสิงคโปร์ ร่วมกับ The Ford Foundation ได้จัดการสัมมนาเรื่อง “Non-Traditional Security in Asia” ระหว่างวันที่ 2-3 มีนาคม2549 โดยได้เชิญวิทยากรจากภูมิภาคต่างๆ จำนวน 23 คนมาร่วมเป็นวิทยากร ซึ่งได้อธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบของภัยแบบ non-traditional ว่าอาจได้แก่ 1) ภัยจากการก่อการร้ายซึ่งได้มีความรุนแรงขึ้นนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 2) ภัยจากสิ่งแวดล้อมได้แก่ มลภาวะเป็นพิษและความล้มเหลวในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 3) ภัยทางด้านเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตการณ์ทางการเงิน 4) ภัยทางด้านวัฒนธรรม เช่นการรุกรานของวัฒนธรรมต่างชาติ 5) ภัยที่เกิดจากการขาดข้อมูลที่จำเป็นในสังคม 6) ภัยจากด้านการสาธารณสุข เช่นการขาดแคลนน้ำ โรคระบาด ฯลฯ 7) ภัยข้ามชาติอื่นๆ ได้แก่การลักลอบค้ายาเสพติด หรือการย้ายถิ่นของคนจำนวนมาก
| |
− |
| |
− | อ้างอิง http://news.thaieurope.net/content/view/980/141/
| |
| | | |
| | | |
| ==กฎหมายระหว่างประเทศกับประเทศไทย== | | ==กฎหมายระหว่างประเทศกับประเทศไทย== |
− |
| |
− | 9.1.ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายภายในกับระหว่างประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | 9.1.1.ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของรัฐ
| |
− | (Relations Between International Law and Municipal Law)
| |
− |
| |
− | ความเบื้องต้นใน การศึกษากฎหมายระหว่างประเทศนั้น หากละเลยไม่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกฎหมายระว่างประเทศและ กฎหมายภายในของรัฐแล้ว จะทำให้ขาดความเข้าใจถึงลักษณะและบทบาทที่แท้จริงของกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เพราะกฎหมายระหว่างประเทศมิใช่เพียงแต่วางกฎเกณฑ์เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคลต่างๆ ในกฎหมายระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นรัฐ หรือองค์การระหว่างประเทศ หรือองค์ภาวะ (entity ) อื่นใดที่ถือว่าสภาพบุคคล (personality) หรือมีสถานะ (status) บาง ประการตามกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่กฎหมายระหว่างประเทศยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบกฎหมายภายในของรัฐต่างๆ อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิสัญญาระหว่างประเทศซึ่งนับว่าเป็นบ่อเกิดของกฎหมาย ระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลและบทบาทต่อกฎหมายภายในของรัฐมากขึ้นทุกขณะ
| |
− |
| |
− | อย่าง ไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของรัฐนั้น ถูกนักกฎหมายระหว่างประเทศมองไปในแง่มุมต่างๆ กัน เช่น มองว่ากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายในของรัฐนั้นเป็นกฎหมายคนละระบบกันและ แยกต่างหากจากกันโดยไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเป็นทัศนะของกลุ่มนักกฎหมายที่สนับสนุนนทฤษีทวินิยม ( Dualism) หรือ กลุ่มนักกฎหมายที่ถือว่ากฎหมายระหว่างประทศและกฎหมายภายในเป็นระบบเดียวกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ซึ่งเป็นทัศนะของกลุ่มนักกฎหมายที่สนับสนุนทฤษฎีเอกนิยม (Monism) หรือแม้กระทั่งกลุ่มนักกฎหมายที่มิได้สนับสนุนทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งดังกล่าวข้างดต้นหากแต่ต้องการประสานทฤษฎีทั้งสองเข้าด้วยกัน
| |
− | ทฤษฎี ดังกล่าวข้างต้นนี้ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากปรัชญากฎหมายที่แตกต่างกันโดยที่ ไม่อาจหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ว่าทฤษฎีใดถูกทั้งหมดหรือผิดโดยสิ้นเชิง เช่นทฤษฎีทวินิยมที่แยกกฎหมายระหว่างประเทศกุบกฎหมายภายในของรับออกจากกันก็ ได้รับอิทธิพลจากปรัชญากฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมือง ( Positivism) ที่ถือว่ากฎหมายไม่ว่าจะเป็นบ่อเกิดโดยรูปแบบ (formal Sources) หรือโดยเนื้อกา (material sources) มาจากเจตจำนง (will) ของ รัฐ และระบบกฎหมายระหว่างประเทศย่อมไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบกฎหมายภาย ในของรัฐและผูกพันรัฐได้หากรัฐไม่แสดงเจตจำนงให้ความยินยอม( (consent)
| |
− |
| |
− | ในกรณีของทฤษฎีเอกนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายที่ถือว่ากำหมายระหว่างประเทศมีลำดับศักดิ์( hierarchy) สูงกว่ากฎหมายภายในของรัฐนั้นได้รับอิทธิพลจากปรัชญากำหมายของสำนักกำหมายธรรมชาติ (natural law) ซึ่ง ถือว่ากฎหมายภายในของรัฐไม่สามารถแยกออกจากกฎหมายระหว่างประเทศได้ และในทางกลับกันกฎหมายภายในของรัฐซึ่งเกิดจากเจตจำนงของรัฐซึ่งเป็นกฎหมาย ที่มนุษย์สร้างขึ้นก็จะต้องตกอยู่ในบังคุบของกฎหมายธรรมชาติ มิใช่แยกตัวออกจากกำหมายธรรมชาติไม่ วาจะเป็นทฤษฎีใดดังกล่าวข้างต้นก็ตามต่างก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถามาเกี่ยว กับแนวทางซึ่งรัฐต่างๆ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายเกี่ยวกับแนวทางซึ่งรัฐต่างๆ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและ กฎหมายภายในของรัฐได้หมด เช่นเดียวกับที่ปรัชญากฎหมายซึ่งอยู่เบื้องหลังทฤษฎีดังกล่าวก็ไม่สามารถตอบ คำถามเกี่ยวกับปรัชญาพื้นฐานกฎหมายได้ทุกคำถาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การศึกษาถึงทฤษฎีดังกล่าวข้างต้นมีความจำเป็นในการทำความเข้าใจกำหมาย ระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ที่กฎหมายระหว่างประทศมีต่อกฎหมายภายในของรัฐ ในทำนองเดียวกันกับที่การศึกษาปรัชญากฎหมายของสำนักความคิดต่างๆ มีความเข้าใจกฎหมายโดยภาพรวม
| |
− |
| |
− | ประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางกฎหมายจากประเทศที่ใช้ระบบ civil law และ มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ไม่ปรากฏว่ามีรัฐธรรมนูญของประเทศไทยฉบับใดกล่าวถึงสถานะของกฎหมายจารีต ประเพณีระหว่างประเทศเลยว่ากฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศจะเข้ามามีบทบาท ในฐานะที่เป็นกฎหมายภายในของประเทศได้อย่างไร ซึ่งแตกต่างจากกรณีของกฎหมายรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสหรือของเยอรมนีซึ่งกล่าว ถึงกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงทำให้เกิดคำถามว่า กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศจะเข้ามามีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายภายในของ ประเทศไทยได้หรือไม่ ในเมื่อไม่มีการกล่าวถึงจารีตประเพณีระหว่างประเทศไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ ไทยฉบับใดเลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศาลไทยจะยอมบังคับตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศหรือไม่ หากมีการกล่าวอ้างกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เช่น ในกรณีที่กงสุลของรัฐอื่นกระทำความผิดอาญาในประเทศไทยและอ้างความคุ้มกันจาก เขตอำนาจของศาลไทยตามหลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ศาลไทยจำเป็นที่จะต้องบังคับตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เช่นว่านั้นหรือไม่ กล่าวคือ ยอมรับการอ้างความคุ้มกันของกงสุลของรัฐอื่นเช่นว่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายภายในของประเทศไทยบัญญัติถึงความคุ้มกันของกงสุล เหมือนกับกรณีความคุ้มกันทางทูต พ.ศ. 2527 รับรอง อยู่ หรือศาลไทยจะไม่ยอมรับการอ้างความคุ้มกันของกงสุลของรัฐอื่นและดำเนินคดีต่อ กงสุลของรัฐอื่นซึ่งกระทำความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย
| |
− |
| |
− | ใน กรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ หากศาลไทยดำเนินคดีต่อกงสุลของรัฐอื่นเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายอาญาโดยไม่ ยอมรับฟังข้ออ้างในเรื่องความคุ้มกันของกงสุลตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่าง ประเทศ ก็ดูจะไม่มีปัญหาสำหรับศาลซึ่งใช้บังคับกฎหมายที่มีอยู่ แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยอาจต้องรับผิดต่อรัฐผู้ส่งกงสุลเช่นว่านั้นในฐานะ ที่ประเทศไทยฝ่าฝืนพันธกรณีในทางระหว่างประเทศอันเกิดจากกฎหมายจารีตประเพณี ที่ว่ากงสุลจะได้รับความคุ้มกันจากเขตอำนาจทางตุลาการและทางบริหารของรัฐผู้ รับ ถึงแม้ความคุ้มกันของกงสุลจะไม่เท่ากับความคุ้มกันของตัวแทนทางทูตก็ตาม
| |
− |
| |
− | ใน ทางกลับกัน หากศาลไทยยอมให้กงสุลของรัฐอื่นเช่นว่านั้นอ้างความคุ้มกันจากเขตอำนาจศาล ไทยได้ ศาลไทยคงจะต้องอธิบายและให้เหตุผลว่ากงสุขของรัฐอื่นเช่นว่านั้น สามารถอ้างความคุ้มกันจากเขตอำนาจศาลไทยได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีกฎหมายภายในของประเทศไทยบัญญัติรับรองไว้ เหมือนกับกรณีความคุ้มกันของตัวแทนทางทูต ซึ่งมีพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูต พ.ศ. 2527 รับรอง อยู่ ซึ่งคงจะเป็นการยากที่ศาลไทยจะอธิบายได้ เพราะเรื่องความคุ้มกันของกงสุลนั้นไมมีกฎหมายภายในของประเทศไทยบัญญัติ รับรองไว้ นอกจากกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งศาลก็ต้องอธิบายต่อไปว่าศาลไทยสามารถนำกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เช่นว่านั้นมาปรับแก้ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวนี้ได้อย่างไร
| |
− |
| |
− | ในเมื่อระบบกฎหมายของไทยและกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยไม่เปิดช่องว่างให้ศาลไทยนำ กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศมาใช้บังคับได้โดยตรงศาลไทยจึงไม่มีอำนาจ ตามกฎหมายใดๆ ที่จะนำกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศมาปรับใช้แก่คดีได้ เพราะศาลในระบบ civil law เช่นศาลไทยนี้มีหน้าที่ใช้บังคับกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ศาลไทยไม่อาจสร้างหลักกฎหมายได้เองเหมือนกับศาลในระบบ common law ดัง นั้น หากจะย้อนไปพิจารณาปัญหาเรื่องความคุ้มกันของกงสุลของรัฐอื่นข้างต้น ศาลไทยคงไม่มีทางเลือกเป็นอื่นนอกจากวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญาตามปกติ ส่วนความรับผิดในทางระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีต่อรัฐผู้ส่งกงสุลเช่นว่า นั้น ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง
| |
− |
| |
− | ภายในhttp://tayucases.blogspot.com/2011/03/blog-post_04.htmlเป็นเนื้อหา
| |
− |
| |
− | 9.2.กฎหมายระหว่างประเทศที่คนไทยควรรู้
| |
− |
| |
− | ในปัจจุบันความเจริญของโลกทำให้คนสามารถเดินทางติดต่อสื่อสารกันได้โดยง่ายและเป็นประจำ ทำให้รัฐต้องติดตามไปควบคุมและคุ้มครองพลเมือง ซึ่งได้แก่ ผู้มีสัญชาติของรัฐเมื่ออยู่ในต่างแดน เป็นผลให้รัฐต่างๆต้องเริ่มติดต่อกัน โดยการติดต่อได้ขยายขอบเขตไปถึงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคม จึงทำให้สาระของการติดต่อครอบคลุมมากมายหลากหลายเรื่องขึ้น
| |
− |
| |
− | นอกจากนี้ รัฐยังได้ร่วมมือกันทำกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่อาจทำได้ตามลำพัง ทำให้เกิดสมาคมหรือองค์การระหว่างประเทศขึ้นและมีบทบาทสำคัญในการช่วยรักษาความเรียบร้อย รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมความก้าวหน้าแก่ภูมิภาคต่างๆ ในโลกเป็นอย่างมาก ดังนั้น รัฐและองค์การที่จัดตั้งขึ้นจึงต้องตั้งกติกาเพื่อเป็นแนวทางในการติดต่อสัมพันธ์กันขึ้นมา ซึ่งได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | กฎหมายระหว่างประเทศเกิดจาการตกลงกันหรือจากยอมรับปฏิบัติกันโดยรัฐ และพัฒนาต่อมาโดยองค์การระหว่างประเทศทั้งหลาย
| |
− |
| |
− | ปัจจุบันกฎหมายระหว่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อสังคมโลกเป็นอย่างมากซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศในบางเรื่องส่งผลต่อประเทศไทยด้วย ดังนั้น ในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศชาติและสังคมโลก เราจึงจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศในสาขาที่มีความสำคัญไว้บ้าง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศดังกล่าว โดยกฎหมายระหว่างประเทศที่ควรรู้ มีดังนี้
| |
− |
| |
− | อ้างอิง https://sites.google.com/site/30885naphasfeem/home/page2
| |
− |
| |
− |
| |
− | 9.2.1. กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
| |
− | เป็นสาขาหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศจากเดิมเรียกกันว่า“กฎหมายระหว่างประเทศยามสงคราม หรือ กฎหมายสงคราม” กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศมีจุดประสงค์ที่มุ่งส่งเสริมคุณค่า อันเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับกฎหมายสิทธิมนุษยชน
| |
− |
| |
− | กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเริ่มต้นจากความพยายามของนายอังรีดูนังต์และคณะที่จะหาทางลดภาวะทุกข์ทรมารอันหน้าสะพรึงกลัวที่เกิดกับทหารและพลเรือน จากการาสู้รบระหว่างคู่สงคราม พวกเขาได้รณรงค์เป็นเวลานานจนรัฐต่างๆ เห็นความสำคัญของปัญหาทำให้สาระสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องของการปกป้องคุ้มครอง และดูแลพลเรือนของประเทศคู่สงคราม เช่น ห้ามการใช้อาวุธและวิธีการสู้รบซึ่งมีลักษณะการทำลายล้างอย่างมหาศาล ก็ให้เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็นหรือความทุกข์ทรมารเกินไป เช่น การใช้อาวุธเคมี การใช้อาวุธชีวภาพ อาวุธนิวเคลียร์ ห้ามกระทำการรุนแรงหรือคุมคามว่าจะทำการรุนแรงเพื่อให้ประชาชนหวากกลัว เป็นต้น
| |
− |
| |
− | กล่าวได้ว่ากฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นตัวอย่างกฎหมายที่เกิดจากการตกลงร่วมกันของมนุษย์ เพื่อคุ้มครองประโยชน์และการปลอดภัยของมนุษย์จากเงื้อมมือของมนุษย์ด้วยกันอย่างแท้จริง
| |
− |
| |
− | กฎหมายนี้มีความมุ่งหมาย คือ การเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยพัฒนาการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศมีผลทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของนานาประเทศ ในการสอดส่องดูแลเพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายเรื่องนี้สำหรับประเทศไทยเคยมีกฎหมายที่สอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เช่น พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488พระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488 พ.ศ. 2510 ประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา 48 เป็นต้น
| |
− |
| |
− | 9.2.2.กฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
| |
− |
| |
− | ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการค้าผู้หญิงและเด็กได้รับการตระหนักจะประชาคมโลกว่าเป็นอาชญากรรมที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ และได้กระทำการอย่างกว้างขว้าง
| |
− | จนเป็นกระบวนการเชื่อมโยงทั้งในประเทศระต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นภัยต่อความสงบสุขของโลกอย่างมาก
| |
− |
| |
− | ในอดีตประเทศไทยเคยมีกฎหมายเพื่อเอาผิดและลงโทษการกระทำซึ่งเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศแก่ผู้หญิงและเด็กในลักษณะที่เป็นการค้าประเวณี กฎหมายว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง กฎหมายสถานบริการ แต่ยังมีขอบเขตจำกัด
| |
− |
| |
− | ต่อมาประเทศไทยได้ร่วมลงนามอนุสัญญาสหประเทศเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร พ.ศ. 2543 และพิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก พ.ศ. 2543 เพิ่มเติมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และได้ตรากฎหมายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ขึ้นต่อมาตามลำดับ
| |
− |
| |
− | นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ขึ้น เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ตลอดจนการให้ความร่วมมือและประสาน
| |
− | งานกับต่างประเทศเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกำหนดให้มีคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเดินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีหน้าที่ติดตามและจัดทำรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการตามพัทธกรณีระหว่างประเทศและให้ความร่วมมือและประสานงานกับต่างประเทศเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้การบังคับใช้การหมายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและพัทธกรณีระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | 9.2.3.กฎหมายว่าด้วยผู้ลี้ภัย
| |
− |
| |
− | ปัญหาผู้ลี้ภัยเป็นประเด็นทางมนุษยธรรมที่มีกฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะถึงแม้จะมีการรับรองว่าสิทธิแสวงหาที่ลี้ภัยเป็นสิทธิมนุษยชน แต่รัฐต่างๆ ก็ยังลำบากใจเมื่อต้องกลายเป็นรัฐผู้ลี้ภัย โดยการลี้ภัยสามารถแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ
| |
− |
| |
− | 1.การลี้ภัยทางดินแดน (territorial asylum) หมายถึง การของลี้ภัยเพื่อเข้าไปอยู่ในดินแดนของรัฐผู้ลี้ภัย ซึ่งขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐดินแดนว่าจะให้ลี้ภัยหรือไม่โดยพิจารณาจากพัทธกรณีในข้อตกลงระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของรัฐนั้น
| |
− |
| |
− | 2.การลี้ภัยทางทูต (diplomatic asylum) การลี้ภัยที่ผู้ขอลี้ภัยเข้าไปอยู่ในสถานทูตของรัฐผู้ให้ลี้ภัย ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนของรัฐผู้ให้ลี้ภัย ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนของรัฐที่ต้องการตัวผู้ขอลี้ภัยเอง
| |
− |
| |
− | ปัจจุบันสมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้จัดตั้งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติขึ้น เพื่อคุ้มครองและแก้ปัญหาของผู้ลี้ภัยทั่วโลก รวมทั้งปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะสิทธิที่จะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในประเทศอื่น เพื่อเตรียมพร้อมที่ส่งกับประเทศต้นทางตามที่ผู้ลี้ภัยต้องการ หรือเพื่อที่จะส่งไปยังประเทศที่สาม
| |
− |
| |
− | ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็ได้ให้ความสนับสนุนช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับผู้อพยพหนีภัยเข้ามาในดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง ตามหลักมนุษยธรรมด้วยดีดดยให้ความคุ้นครองต่อผู้อพยพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ อาทิ การฝึกทักษาอาชีพและการศึกษาเพื่อเขาจะสามารถดำเนินชีวิตระหว่างอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวอย่างปลอดภัย
| |
− | อ้างอิง https://sites.google.com/site/30885naphasfeem/home/page2
| |
− |
| |
− | 9.2.4.กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
| |
− |
| |
− | เป็นสาขาหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศที่ใช้ควบคุมการดำเนินกิจกรรมของรัฐและปัจจเจกบุคคลที่อยู่ได้อำนาจรัฐ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครอง อนุรักษ์ และพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เกิดขึ้เนื่องจากความกังวลของปัญหาของนานาประเทศเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และได้มีการพัฒนาการมาอย่างต่เนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515
| |
− |
| |
− | สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นจากการทำข้อตกลงกันระหว่างรัฐต่างๆจึงให้มีรานละเอียดเป็นจำนวนมากและครอบคลุมในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องมลพิษทางอากาศ การลดลงของโอโชน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เป็นต้น
| |
− |
| |
− | แต่หลักการสำคัญของกฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศนั้น คือ สิ่งแวดล้อมถือเป็นสมบัติส่วนรวมของมนุษยชาติ ที่ต้องร่วมกันปกป้องและรักษา รวมทั้งต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตามกำลังความสามารถของแต่ละรัฐ
| |
− |
| |
− | กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่ใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในเบื้องต้น ปัจจุบันได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มรายละเอียดของเนื้อหามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการร่วมกันทำกิจกรรมระหว่างรัฐ ผ่านทางองค์การหรือสมาคมระหว่างรัฐต่างๆ ดังนั้น ในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศและพลโลกจึงต้องศึกษาและเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจกฎหมายต่างๆ เหล่านี้ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเดินชีวิตและแนวทางการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานของโลกต่อไป
| |
− |
| |
− | กล่าวโดยสรุปได้ว่า กฎหมาย คือ กฎกติกาที่สังคมตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมหรือจัดการระเบียบทางสังคม โดยกฎหมายได้วางแนวทางสำหรับการอยู่ร่วมกันและได้กำหนดบทบาท สิทธิ และทำหน้าที่ของแต่ละคนในสังคมไว้ ตั้งเกิดจนตาย ซึ่งในฐานะสมาชิกของสังคมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมาย ยิ่งโดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยงข้องกับตนเองและครอบครัว กฎหมายหมายแพ่งที่เกี่ยวกับนิติกรรมสัญญา กฎหมายอาญาตลอดจนกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและมีผลกระทบต่อส่วนรวมและควรรู้ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอาการ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องต่างๆ เป็นต้น เพราะการศึกษากฎหมายดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม ชุมชน และสังคมโลก
| |
− |
| |
− | อ้างอิง https://sites.google.com/site/30885naphasfeem/7-kdhmay-rahwang-prathes-thi-khwr-ru/page3/page4
| |